แก้วิกฤติท้องก่อนวัยด้วยการคุมกำเนิด

ที่มา: หนังสือพิมพ์แนวหน้า


แก้วิกฤติท้องก่อนวัยด้วยการคุมกำเนิด thaihealth


แฟ้มภาพ


          เนื่องในวันคุมกำเนิดโลก 2017 กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข สมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี และบริษัทไบเออร์ไทย จำกัด จัดงานแถลงข่าว "คุมกำเนิดไทยในยุค 4.0" เพื่อร่วมรณรงค์พร้อมเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการคุมกำเนิดให้ถูกต้อง โดยเฉพาะปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นขึ้นทุกปี รวมทั้งปัญหาวัยรุ่นตั้งครรภ์ซ้ำ ณ สมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทยฯ วิภาวดี 44


          นพ.กิตติพงศ์ แซ่เจ็ง ผู้อำนวยการสำนักอนามัยการเจริญพันธุ์ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สภาพเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้สถานการณ์การตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อมในประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและเยาวชนเพิ่มสูงขึ้น ในปี 2559 พบผู้หญิงอายุ 10-19 ปี คลอดบุตรรวมทั้งสิ้น 94,584 คน หรือเฉลี่ย 252 คนต่อวัน และพบการคลอดซ้ำในเยาวชนกลุ่มนี้ 11,225 คน หรือคิดเป็นสัดส่วน 11.9% ขณะที่เด็กหญิงวัย 10-14 ปี คลอดบุตรในปีที่ผ่านมา 2,746 คน หรือประมาณวันละ 8 คน


          "สำหรับปัญหาการคลอดซ้ำในวัยรุ่น ถือเป็นเรื่องน่าเป็นห่วง แต่ปัจจุบัน พ.ร.บ.การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ.2559 เริ่มบังคับใช้เมื่อ 29 กรกฎาคม 2559 ที่ผ่านมา ได้กำหนดให้สถานบริการให้ข้อมูลข่าวสารและความรู้เกี่ยวกับการป้องกัน และแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น กับวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 10 ปี ขึ้นไป แต่ยังไม่ถึง 20 ปีบริบูรณ์ และวัยรุ่นสามารถขอรับบริการคุมกำเนิด โดยการใช้ยาฝังคุมกำเนิดแบบกึ่งถาวร โดยฝังไว้ใต้ผิวหนัง ท้องแขน มีทั้งแบบชนิด 3 ปี และ 5 ปี ได้ฟรี ณ สถานบริการที่ขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการของหลักประกันสุขภาพแห่งชาติทุกแห่ง ส่วนการแก้ปัญหา ตั้งครรภ์ในวัยรุ่น เป็นนโยบายสำคัญของภาครัฐที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ขององค์การสหประชาชาติ สร้างคุณภาพชีวิตและสุขภาวะ ลดผล กระทบจากกรณีการเสียชีวิตของแม่และทารก เด็กแรกเกิดน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ และเสี่ยงต่อการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัย นำไปสู่ปัญหาสังคม อาทิ เด็กถูกทอดทิ้งให้เติบโตอย่างไม่มีคุณภาพ ขาดโอกาสทางการศึกษา ฯลฯ "


          ด้าน ศ.นพ.สุรศักดิ์ ฐานีพานิชสกุล นายกสมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี กล่าวว่า "วิวัฒนาการของการคุมกำเนิด เริ่มต้นเมื่อปี พ.ศ.2500 โดยยาเม็ดคุมกำเนิดเม็ดแรกเกิดขึ้นในยุโรป จากนั้นก็มีการพัฒนาไปสู่ยาฉีดคุมกำเนิด ซึ่งสำหรับประเทศไทยนั้นทั้ง 2 วิธี ได้เข้ามาประมาณ พ.ศ.2510 จากนั้นก็มีการพัฒนาไปสู่ห่วงอนามัย ยาฝังคุมกำเนิด แหวนคุมกำเนิด การทำหมันถาวร แต่ปัจจุบันมีการพัฒนาเทคโนโลยีการคุมกำเนิดขึ้นทุกด้าน เช่น ยาเม็ดคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนต่ำ มีความปลอดภัย และเป็นธรรมชาติที่สุด โดยยาเม็ดบางชนิดสามารถช่วยลดอาการก่อนมีประจำเดือนได้ ขณะที่ยาฉีดมีการพัฒนาจากที่ต้องฉีด 3 เดือน เหลือเพียง 1 เดือน และลดขนาดจาก 3 ซีซี เหลือเพียง 1 ซีซีเท่านั้น ส่วนยาฝังคุมกำเนิด เดิมทีต้องใช้มากถึง 6 หลอด เพื่อคุมกำเนิด ใน 5 ปี ปัจจุบันใช้เพียง 2 หลอด คุมได้ 5 ปี หรือ 1 หลอด คุมได้ 3 ปี หรือแม้แต่ห่วงอนามัย ในอดีตเป็นห่วงที่มีทองแดง ทุกวันนี้เปลี่ยนเป็นห่วงที่มีฮอร์โมนเพื่อ ลดประจำเดือนและอาการปวด รวมทั้งช่วยรักษาโรคบางโรคได้ และในอนาคตจะมียาเม็ดคุมกำเนิดที่มีขนาดน้อยลง มีการกินที่น้อยลง ในอนาคตอันใกล้อาจจะมียาที่กินเพียง 1 สัปดาห์ แต่สามารถใช้คุมกำเนิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ แทนที่จะต้องกินทั้งเดือนเหมือนปัจจุบัน"


          ขณะที่ พญ.ปานียา สูตะบุตรผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ เผยว่า "บริษัท ไบเออร์ไทย ได้วิจัยการคุมกำเนิดด้วยการปรับฮอร์โมนให้เหมาะสมกับธรรมชาติที่สุด โดยมีเจตนารมณ์ในการร่วมกันลดปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พร้อม โดยเฉพาะในเด็กและเยาวชน ซึ่งพบการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร และตั้งครรภ์ซ้ำซาก สาเหตุสำคัญส่วนหนึ่ง คือ การขาดความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการคุมกำเนิดที่เหมาะสม เช่น การใช้ยาคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนชนิดต่างๆ อย่างเหมาะสม"


          เนื่องในโอกาสครบรอบ 10 ปี วันคุมกำเนิดโลก ทางเว็บไซต์ www.your-life.com  ได้เผยแพร่รายงาน "วัยรุ่นกับการคุมกำเนิด" ระบุว่าแต่ละปีมีผู้หญิงตั้งครรภ์ 208 ล้านคน โดย 41% เป็นการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์และเกือบครึ่งหนึ่งได้ตัดสินใจทำแท้ง โดยมีการสำรวจความคิดเห็นวัยรุ่นอายุ 13-25 ปี จำนวน 201 คน พบว่า วัยรุ่น 87.1% ทราบถึงความสำคัญของการคุมกำเนิด แต่ 60.2% ของผู้มีเพศสัมพันธ์ กลับไม่มีการคุมกำเนิด โดยให้เหตุผลว่าไม่ต้องการทำลายความสนุก ไม่มีเครื่องมือ ลืม และมั่นใจว่าจะไม่ตั้งครรภ์ สำหรับความรู้เกี่ยวกับการคุมกำเนิดของวัยรุ่นไทย ส่วนใหญ่ ได้รับจากสถานศึกษา แต่บางส่วนมองว่าข้อมูลยังไม่เพียงพอ จึงเข้าไปศึกษาเองทางอินเตอร์เนต ส่วนวิธีการคุมกำเนิดที่นิยมใช้คือถุงยางอนามัย การทำหมัน ยาเม็ดคุมกำเนิด แต่ที่น่ากังวลคือ บางคนเข้าใจว่าการหลั่งข้างนอก และการนับระยะปลอดภัย (หน้า 7 หลัง 7) เป็นการคุมกำเนิดที่น่าเชื่อถือ


 


 

Shares:
QR Code :
QR Code