เอดส์คร่าชีวิตคนทั่วโลกกว่า40ล้านคน
ทุกวันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปี องค์การอนามัยโรคกำหนดเป็นวันเอดส์โลก สหประชาชาติ เผยผู้ติดเชื้อเอชไอวี ได้คร่าชีวิตคนทั่วโลกไปแล้วกว่า 40 ล้านคน ขณะที่ในประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อกว่า 1 ล้านคน และพบว่ากลุ่มวัยรุ่นติดเชื้อมากถึงร้อยละ 40
โดยโครงการโรคเอดส์แห่งสหประชาชาติ หรือ UNAIDS ได้กำหนดกรอบในการรณรงค์วันเอดส์โลก ปี 2557 ว่า Getting to Zero "ไม่ติด ไม่ตาย ไม่ตีตรา : ร่วมยุติปัญหา เอดส์และเพศสัมพันธ์" โดยกำหนดให้ภายในปี 2559 ไม่มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ ไม่มีการเสียชีวิตจากเอดส์ และไม่มีการเลือกปฏิบัติกับผู้ป่วย ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ส่วนสถานการณ์ในประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อเอชไอวี สะสมถึงปี 2557 จำนวน 1,194,515 ราย ในจำนวนนี้ ยังมีชีวิตอยู่ 438,629 ราย เป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ 7,695 คน โดยกว่า 90% ติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ทั้งนี้เมื่อจำแนกออกเป็นกลุ่มๆ พบการติดเชื้อมากในกลุ่มผู้ใช้สารเสพติดชนิดฉีด 40% ในกลุ่มชายรักชาย เฉลี่ย 7.1% เฉพาะกรุงเทพมหานครและแหล่งท่องเทียว เช่น พัทยา มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นถึง 20%
นอกจากนี้ยังพบเพิ่มขึ้นในกลุ่มคู่สมรส โดยพิจารณาจากการตั้งครรภ์และติดเชื้อ 0.5% ทหารเกณฑ์ 0.6% และที่น่าตกใจคือ กลุ่มวัยรุ่นอายุ 15-24 ปี ติดเชื้อเพิ่มขึ้นร้อยละ 40 และจากรายงานของสหประชาชาติ พบว่าในปีที่แล้ว มีผู้ติดเชื้อ HIV ทั่วโลก 35 ล้านคน , ผู้ติดเชื้อ HIV รายใหม่ 2.1 ล้านคน และผู้เสียชีวิตจากโรคเอดส์ 1.5 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ในแอฟริกา ทั้งนี้นับตั้งแต่พบการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ เมื่อกว่า 30 ปีที่แล้ว ได้คร่าชีวิตประชาชนทั่วโลกไปแล้วกว่า 40 ล้านคน
ด้าน UNAIDS เผยว่า ภายในปีนี้ มีผู้คนราว 13.6 ล้านคนทั่วโลก ที่สามารถเข้าถึงยารักษาโรคเอดส์ ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากเมื่อปี 2010 มีผู้เข้าถึงยารักษา เพียง 5 ล้านคนเท่านั้น ขณะที่นักเคลื่อนไหวในแอฟริกาใต้ ซึ่งเป็นประเทศที่มียอดผู้ติดเชื้อ HIV มากที่สุดในโลก เตือนว่า แอฟริกาจำเป็นต้องมีมาตรการในการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อ HIV ให้มากกว่า จะมุ่งเป้าไปที่การรักษาผู้ติดเชื้อ เพราะการป้องกันการเกิดโรค จะช่วยลดค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในการรักษาผู้ติดเชื้อ ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขแอฟริกาใต้ ว่า ในอีก 2 ปีข้างหน้า รัฐบาลจะต้องใช้เงินในการซื้อยาต้านเชื้อ HIV รักษาผู้ป่วยในประเทศ สูงถึง 2,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว
ที่มา : เว็บไซต์ครอบครัวข่าว 3
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต