‘เหล้ามือสอง’ มหันตภัยร้ายของคนร้อบข้าง
ที่มา: หนังสือพิมพ์แนวหน้า
แฟ้มภาพ
หนึ่งในความเข้าใจของคนไทยโดยทั่วไป เกี่ยวกับการดื่มแอลกอฮอล์ คือ ผลเสียจะตกอยู่ที่ตัวผู้ดื่มเท่านั้น แต่กลับลืมไปว่ายังส่งผลกระทบไปถึงบุคคลและสังคมที่อยู่รอบข้างด้วย เช่นเดียวกับบุหรี่ มือสอง ที่ผู้ไม่สูบได้รับผลเสียด้วย หากได้รับ หรือสัมผัสควันบุหรี่เข้าไป
ทั่วโลกจึงได้มีการผลักดันให้สังคมได้ตระหนักถึงผลเสียของ "ภัยเหล้ามือสอง" ที่ส่งผลต่อบุคคลรอบข้าง ถึงแม้จะไม่ได้ร่วมดื่มด้วยก็ตาม ล่าสุด ประเทศไทยได้เปิดประชุมเชิงวิชาการขึ้น เพื่อเดินหน้าผลักดัน เรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อนำไปสู่การหา ทางออกของปัญหาเหล้ามือสองอย่างจริงจัง โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข และ ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) ศึกษาผลกระทบ "เหล้ามือสอง : ผลกระทบของการดื่ม แอลกอฮอล์ในยุคโลกเสรีและสังคมไทย" ภายใต้โครงการความร่วมมือระหว่างองค์การอนามัยโลก และ สสส.
ภญ.อรทัย วลีวงศ์ นักวิจัยสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ ได้เปิดเผย ข้อมูลสถานการณ์ภัยเหล้ามือสองในประเทศไทยให้ทราบว่า คนไทย ร้อยละ 76.8 ได้รับผลกระทบทางจิตใจ รู้สึกไม่ปลอดภัย หวาดกลัว ถูกคุกคาม จากผู้ดื่ม ที่รู้จักและแปลกหน้า ร้อยละ 42 ได้รับผลกระทบ ในการใช้ชีวิต เช่น เพื่อนร่วมงานไม่สามารถทำงานได้ หรือมีปัญหากับคู่สมรส ร้อยละ 22.6 ได้รับผลกระทบทางการเงิน เช่น เงิน ไม่พอใช้ หรือต้องนำเงินไปใช้จ่ายจากอุบัติเหตุที่เกิดจากแอลกอฮอล์ สุดท้ายร้อยละ 6.2 เคยมี ผู้ถูกกดขี่ทางเพศจากนักดื่ม ขณะเดียวกันเด็กและเยาวชนก็ได้รับผลกระทบ ร้อยละ 24.6 จากคำพูดรุนแรง หรือถูกทอดทิ้ง โดยมีพ่อ-แม่ ที่ดื่มเป็นปัจจัยหลัก นอกจากนี้ จากการคำนวณ มูลค่าความเสียหายที่ผู้ได้รับผลกระทบต้องควักกระเป๋าหรือสูญเสีย มีมูลค่าถึง 8,500 บาทต่อรายต่อปี
เช่นเดียวกับ นายแด๊ก เรคเว้ นักวิชาการ อาวุโส ฝ่ายการจัดการปัญหายาเสพติด องค์การอนามัยโลก ได้เผยว่า ทั่วโลกมีการดื่ม แอลกอฮอล์เพียงร้อยละ 38 ขณะที่ร้อยละ 62 ไม่ดื่ม โดยในปี 2012 มีการพบผู้เสียชีวิตจาก แอลกอฮอล์ถึง 3.3 ล้านคน แต่ที่ผ่านมา ทุกประเทศล้วนสนใจการป้องกันและแก้ไขปัญหา ผู้ดื่มอย่างเดียว แต่เมื่อศึกษาผลกระทบที่ เกิดขึ้นกับคนในสังคมรอบข้างพบว่า ส่วนใหญ่ประสบปัญหาเดียวกัน เช่น ถูกทำร้ายร่างกาย ก่อความวุ่นวาย และสร้างความรำคาญ รวมถึง สูญเสียทรัพย์สิน องค์การอนามัยโลกจึงได้ พัฒนาเป็นแผนยุทธศาสตร์นโยบายแอลกอฮอล์ ระดับโลกออกมา ซึ่งประเทศไทยเองก็มี ส่วนร่วมในการพัฒนาแผนนี้ด้วย ตอนนี้เรามียุทธศาสตร์มากมายจัดการกับปัญหาของการดื่มสุราที่มีประสิทธิภาพมาก ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มภาษีให้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ราคาแพงขึ้น การควบคุมโฆษณาการตลาด และการจัดการให้คนเข้าถึงสุรายากมากขึ้น ซึ่งความจริงแล้วเป็นสิทธิของคนที่ไม่ดื่มด้วย ที่เขาจะได้ไม่ต้องรับผลกระทบจากการดื่มสุรา จึงเป็นที่มาของการศึกษา และการเคลื่อนไหวระดับนานาชาติเกี่ยวกับเรื่องนี้
ดร.นพ.บัณฑิต ศรไพศาล รอง ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ระบุว่า ภัยของเหล้ามือสองยังไม่แพร่หลายเท่ากับบุหรี่มือสอง เพราะไม่มีการศึกษาที่เป็นรูปธรรม จึงเตรียมตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาอย่างจริงจังก่อนเสนอภาครัฐกำหนดเป็นนโยบายสาธารณะ ทั้งนี้ การกำหนดนโยบายป้องกันคน รอบข้างจากภัยของเหล้านั้น ไม่ควรรอให้เกิด ความเสียหายก่อนแล้วจึงแก้ไข เช่น กรณีห้ามร้านเหล้าใกล้สถาบันการศึกษา ห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนรถไฟ อีกทั้งต้องมีการควบคุมการโฆษณาเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ที่รัดกุมมากกว่านี้ โดย สสส.ได้สนับสนุนให้มีศูนย์วิจัยปัญหาสุรา ในการสร้างกระบวนการความรู้ และสร้างทีมนักวิจัยที่จะศึกษาเรื่องผลกระทบภัยเหล้ามือสอง เพื่อสร้างข้อมูลข้อเท็จจริงให้สังคมและผู้กำหนดนโยบายได้เข้าใจถึงปัญหา เพื่อนำไปสู่การพัฒนานโยบายควบคุมและป้องกันปัญหาภัยเหล้ามือสองอย่างแท้จริง
ก่อนที่เราจะสูญเสียไปมากกว่านี้ ถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะต้องช่วยกัน ลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิของเราเอง ถึงเวลา แล้วที่เราจะต้องพูดภาษาเดียวที่เราพูดกับบุหรี่ หยุดทำร้ายฉันเสียที ฉันไม่ได้ดื่ม ฉันไม่ได้สูบ ทำไมฉันจะต้องมาโดนทำร้ายด้วย