เหตุความรุนแรงชายแดนใต้ ทำวิถีพระเปลี่ยน
ผลวิจัยเหตุความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้กระทบต่อพระสงฆ์-สามเณรในพื้นที่ ทั้งการดำรงชีวิต การประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และการสังคมสงเคราะห์ ระบุสังคมที่เคยอยู่กันแบบพึ่งพาอาศัย กลายเป็นสังคมแห่งความหวาดระแวง ขอความช่วยเหลือทั้งด้านความปลอดภัย สวัสดิการ สาธารณสุข และปัจจัยสี่
วันที่ 22 กันยายนนี้ ที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พระพรหมบัณฑิต อธิการบดี มจร. เป็นประธานเปิดงานสัมมนาผลงานวิจัยและวิทยานิพนธ์ดีเด่น จัดโดยบัณฑิตวิทยาลัยและสถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ มจร. มีพระภิกษุ สามเณร และประชาชนทั่วไปร่วมกว่า 1,000 รูป/คน เข้าร่วม โดยมี น.ส.สิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์ ในฐานะนักศึกษาปริญญาโท ทำหน้าที่เป็นพิธีกร
พระพรหมบัณฑิตกล่าวว่า การทำวิจัยและวิทยานิพนธ์ถือเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอนในระดับปริญญาโทและเอก แต่เมื่อทำแล้วจะทำอย่างไรไม่ให้อยู่บนหิ้ง จึงจะต้องมีการประเมินและเผยแพร่ทั้งในประเทศและระดับนานาชาติ เพื่อให้มีการนำไปบูรณาการใช้ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ขอแนะก็คือว่างานวิจัยต่างๆ ของ มจร.นั้นจะต้องมีการประยุกต์หลักธรรมเป็นสำคัญ เพราะไม่เช่นนั้นก็ไม่ต่างกับสถานการศึกษาต่างๆ และไม่เด่น
สำหรับงานวิจัยและวิทยานิพนธ์ดีเด่นที่นำเสนอครั้งนี้ มีเรื่อง “การศึกษาผลกระทบต่อการปฏิบัติศาสนกิจของพระภิกษุ สามเณร ในจังหวัดยะลา ปัตตานี และนราธิวาส จากเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้” รวมอยู่ด้วย พบว่า เหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีผลกระทบต่อพระสงฆ์ในพื้นที่ ทั้งในด้านวิถีการดำรงชีวิตที่มีความยากลำบากมากขึ้น เช่น การเดินทางสัญจร การระมัดระวังการดำรงชีวิต ด้านการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาที่ต้องปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม ด้านการเผยแผ่หลักคำสอนของพระพุทธศาสนาลดลง ไม่สามารถดำเนินการได้อย่างกว้างขวาง และด้านการสังคมสงเคราะห์ก็เป็นไปอย่างลำบากและเป็นห่วงชาวบ้านทุกคน
งานวิจัยดังกล่าวระบุว่า พระสงฆ์และชุมชนได้เสนอแนวทางในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการปฏิบัติศาสนกิจ คือจัดให้มีกำลังทหารคอยให้ความคุ้มกันให้ความปลอดภัยเมื่อบิณฑบาตและประกอบพิธีกรรม ตลอดจนปฏิบัติศาสนกิจอื่นๆ ด้านการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาก็มีการปรับเปลี่ยนเวลาและลดขั้นตอนลงเพื่อความปลอดภัย โดยต้องประกอบพิธีกรรมทางศาสนาทุกอย่างให้เสร็จก่อนค่ำ ส่วนการเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ได้มีการเผยแผ่เฉพาะในวัดและปรับเปลี่ยนรูปแบบในการเผยแผ่โดยใช้วิทยุชุมชน หรือเผยแผ่โดยใช้สื่อหนังสือหรือซีดีธรรมะแก่ประชาชนแทน
นอกจากนี้ พระสงฆ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังต้องการความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนต่อการปฏิบัติศาสนกิจของพระภิกษุ สามเณร ในพื้นที่ เช่น ต้องการให้รัฐช่วยดูแลความปลอดภัยในการดำรงชีวิตและปฏิบัติศาสนกิจ ต้องการให้ช่วยด้านสวัสดิการ ดูแลด้านสาธารณสุข และปัจจัยสี่ตามเหมาะสม รวมทั้งต้องการให้รัฐร่วมเป็นเจ้าภาพในการประกอบพิธีกรรมที่สำคัญทางศาสนาทุกกิจกรรม
รองศาสตราจารย์สมบูรณ์ บุญฤทธิ์ หัวหน้าโครงการ กล่าวในการเสนอผลงานวิจัยว่า จากการเก็บข้อมูลมาอย่างต่อเนื่องในช่วงที่มีเหตุการณ์ไม่สงบ พบว่า ประชาชนทุกศาสนาได้รับผลกระทบจากเหตุความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะพระภิกษุและสามเณรมีผลกระทบต่อการปฏิบัติศาสนกิจจากเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งในด้านวิถีการดำรงชีวิต ด้านการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ด้านการเผยแผ่หลักคำสอนทางพุทธศาสนา และด้านการสังคมสงเคราะห์ต่างๆ โดยพระสงฆ์ยอมรับว่ารู้สึกไม่เหมือนเดิมที่เคยอยู่แบบพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน เป็นความหวาดระแวงต่อการใช้ชีวิตท่ามกลางความไม่ปลอดภัย แต่รู้สึกไม่หนักใจในการปฏิบัติหน้าที่
ด้านพระมหาวิเชียร วชิรธมฺโม ผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์ปัตตานี กล่าวว่า ในปีนี้ทาง ม.มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ร่วมมือสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้มีการพัฒนาโครงการกับคณะสงฆ์และชุมชนในพื้นที่ปัตตานี ยะลา และสงขลา เพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างความสงบสุขให้เกิดขึ้นในพื้นที่
ส่วนศาสตราจารย์สุริชัย หวันแก้ว ผู้อำนวยศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การส่งเสริมการสร้างกระบวนการสันติภาพที่สร้างสรรค์โดยมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ถือเป็นอีกหนึ่งบทบาทของสถาบันการศึกษาที่น่าชื่นชม และเป็นอีกความหวังหนึ่งที่จะช่วยลดผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ความไม่สงบในชายแดนภาคใต้ที่เกิดขึ้นอยู่ในสังคมไทย แต่ปัจจุบันนี้ฝ่ายที่ก่อการมักสร้างเหตุการณ์ให้ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชน ความรุนแรงจึงเพิ่มขึ้น
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์