‘เสวียน’ ภูมิปัญญาจัดการขยะในชุมชน
ที่มา : หนังสือพิมพ์สยามรัฐ
ภาพประกอบจากเว็บไซต์สยามรัฐ
ทุกๆ ปี พอเข้าสู่ฤดูแล้ง หมอกควันมักสร้างปัญหาให้กับผู้คนในเขตพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะ แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่เชียงราย ลำปาง ลำพูน พะเยา แพร่ และน่าน ในแต่ละปีมีผู้ป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจเป็นจำนวนมาก ทำให้หน่วยราชการต้องออกประกาศห้ามอย่างเด็ดขาดเป็นเวลา 60 วันในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ถึงกลางเดือนเมษายน เช่นเดียวกับที่บ้านสันต้นตุ้มต.แม่อิง อ.ภูกามยาว จ.พะเยา อยู่ในเขตพื้นที่ห้ามเผาเช่นกัน แต่ชาวบ้านที่นี่ กลับไม่รู้สึกเดือดร้อน เพราะพวกเขาถือโอกาสช่วยกันทำ "เสวียน" เก็บเศษหญ้า เศษใบไม้เพื่อนำมาทำปุ๋ยหมักบำรุงดิน พร้อมสร้างชุมชนให้สะอาดน่าอยู่
นายบัญชา สุวรรณ ผู้ใหญ่บ้านสันต้นตุ้ม บอกว่า ระหว่างวันที่ 16 กุมภาพันธ์ – 15 เมษายน 2561 จ.พะเยา ได้ออกประกาศมาตรการ "60 วันอันตราย ห้ามเผาเด็ดขาด" เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนในช่วงสถานการณ์หมอกควันปกคลุม และเป็นการเตรียมป้องกันแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่าที่จะเกิดขึ้นในช่วงฤดูแล้งของทุกปี ขณะเดียวกันก็กำหนดโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืน หากมีผู้พบเห็นการลักลอบเผาในช่วงเวลาดังกล่าว และแจ้งไปยังฝ่ายปกครองในท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง จะถูกจับและปรับถึง 5,000 บาท
"ในฐานะที่หมู่บ้านสันต้นตุ้ม ดำเนินกิจกรรมด้านจัดการขยะตามโครงการชุมชนน่าอยู่ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ทางสภาผู้นำชุมชนซึ่งประกอบด้วยตัวแทนจากทุกภาคส่วนในหมู่บ้านจำนวน 45 คน ได้หารือกันและมีมติว่าควรแจก "เสวียน" ให้คุ้มละ 10 เสวียนทั้งหมด 8 คุ้ม ซึ่งเสวียนจะใช้รองรับขยะอินทรีย์ประเภทใบไม้ เศษหญ้า เพื่อหมักทำปุ๋ย โดยเสวียนคือวัตถุดิบที่มีในท้องถิ่น เช่น ไม้ไผ่มาช่วยกันจักสาน และใช้ประโยชน์ในชุมชน" ผู้ใหญ่บ้านสันต้นตุ้ม กล่าว
ทั้งนี้บ้านสันต้นตุ้ม มีทั้งหมด 246 หลังคาเรือน 596 คน แบ่งเป็น 8 คุ้มบ้าน เดิมพบว่ามีปัญหาครัวเรือนขาดการจัดการขยะ ไม่คัดแยกขยะ ถึง 177 ครัวเรือน หรือ 71.95% แม้ว่าทางเทศบาลตำบลดงเจน จะเข้ามาจัดการขยะแบบมีส่วนร่วม ตั้งแต่ปี 2559 โดยกำหนดให้มีการแยกขยะ แล้วบริหารจัดการเรื่องการเก็บขนขยะแต่อาจเป็นเพราะการประชาสัมพันธ์หรือกระตุ้นชุมชนไม่ต่อเนื่อง ชาวบ้านจึงมีส่วนร่วมแค่ช่วงเริ่มต้นเท่านั้น พอผ่านไปได้ระยะหนึ่งก็ทิ้งขยะรวมกันทุกประเภทเหมือนเดิม ดังนั้นเมื่อมีการทำประชาคมหมู่บ้าน ขยะจึงกลายเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
ผู้ใหญ่บ้านบัญชา อธิบายต่อว่า จากการสำรวจเชิงลึก พบว่า แต่ละวันหมู่บ้านมีขยะเฉลี่ย 187 กิโลกรัม หรือ 68,255 กิโลกรัม/ปี ในจำนวนนี้มีการนำขยะมูลฝอยกลับมาใช้ประโยชน์เพียง 13,561 กิโลกรัม/ปี คิดเป็น 20% โดยขายเป็นรายได้ 10% ทำปุ๋ย 5% และนำกลับมาใช้ใหม่ 5% ส่วนที่เหลือ 80% ถูกทิ้ง ทั้งที่เมื่อแยกองค์ประกอบขยะ เป็นขยะอินทรีย์ถึง 55.6%ขยะรีไซเคิล 30% ขยะทั่วไป 8% ขยะอันตราย2% และขยะอื่นๆ เช่น ผงฝุ่นจากการทำความสะอาดบ้านเรือน เศษผ้า ถุงพลาสติกใส เศษวัสดุก่อสร้าง 4.4 %
"ส่วนการกำจัดใช้วิธีเผาถึง 12 ครัวเรือนคิดเป็น 4.9% ทิ้งขยะหลังบ้านในที่สาธารณะหรือในหมู่บ้าน 37 ครัวเรือน หรือ 15% ขณะที่แม่บ้าน เยาวชน ก็ขาดความรู้ ไม่เข้าใจและไม่ตระหนัก ถึงการคัดแยกขยะ ซ้ำยังมีทัศนคติต่อขยะเป็นสิ่งสกปรก น่ารังเกียจ คิดว่าการจัดการขยะเป็นหน้าที่ของเทศบาล ก่อให้เกิดผลกระทบตามมา คือกลิ่นเหม็น เป็นแหล่งเพาะพันธุ์แหล่งอาหารของแมลงวัน แมลงสาบ ตลอดจนเชื้อโรคต่างๆ และการกำจัดที่ไม่ถูกวิธียังสร้างปัญหาต่อสิ่งแวดล้อม" ผู้ใหญ่บ้านบัญชากล่าว
สภาผู้นำชุมชนและชาวบ้านสันต้นตุ้มจึงร่วมกันแก้ไขปัญหาของหมู่บ้าน โดยอาศัยแนวคิดการสร้างชุมชนน่าอยู่ กระตุ้นความร่วมมือจากคนในหมู่บ้านให้ร่วมคิดร่วมทำ เพื่อแก้ไขปัญหาและนำไปสู่การเป็นชุมชนน่าอยู่ ลดปริมาณขยะมูลฝอยในครัวเรือน จากเดิมเฉลี่ยครัวเรือนละ 1 กิโลกรัมต่อวัน เหลือไม่เกิน 0.5 กิโลกรัมต่อวัน มีการประชุมชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับการคัดแยกขยะ สร้างจิตสำนึกรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ อบรมให้ความรู้แก่ตัวแทนครัวเรือนด้านการคัดแยกขยะ รณรงค์ใช้ถุงผ้าไปจ่ายตลาด เพื่อลดการใช้ถุงพลาสติก และสภาผู้นำชุมชนกับชาวบ้านมีส่วนร่วมการจัดการขยะย่อยสลายในหมู่บ้านด้วยการจัดตั้งกลุ่มตามความสนใจ เช่น กลุ่มทำปุ๋ยหมักจากขยะย่อยสลาย กลุ่มน้ำหมักชีวภาพ กลุ่มเลี้ยงไส้เดือนกำจัดขยะเปียกในครัวเรือน เป็นต้น