เวทีบ่มเพาะเมล็ดแห่งปัญญา
ค่ำคืนและวันเวลาแห่งการเติมเต็มการทำงานด้านพัฒนาสังคมและศีลธรรมกับเวทีบ่มเพาะเมล็ดแห่งปัญญาพัฒนาสุขภาวะ ณ สปป.ลาว ใน “เวทีพัฒนาและสานเครือข่ายพระสงฆ์นักพัฒนาเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาลุ่มแม่น้ำโขงกับการควบคุมปัจจัยเสี่ยงในอาเซียน”
……แต่ละคนพร่างพรูคำตอบอย่างตรงไปตรงมา ไม่ต้องเสริมเติมแต่ง ไม่ต้องกังวลภาพลักษณ์ เพราะระหว่างพวกเรามีเพียงมิตรภาพ และให้เกียรติกับความคิดต่าง
คำตอบที่ออกมาดูเหมือนเป็นพลังที่ส่งผ่านให้อีกคน คำตอบของอีกคนเป็นดั่งเชื้อเพลิงที่กระตุ้นอีกคน และคำตอบของบางคนเป็นดั่งหยาดน้ำที่ชโลมดวงใจที่อ่อนหล้าให้กลับมามีเรี่ยวแรงอีกครั้ง หากประมวลโดยรวมแล้วจะเห็นว่า พวกเรามีเป้าหมายที่เหนือไปจากประโยชน์ตน แต่อยากเห็นอะไรบางอย่างที่สังคมเราขาดหาย
อากาศภายนอกเริ่มเย็นลง จนบางคนเริ่มกระชับเสื้อกันหนาวให้แน่นขึ้น แต่ภายในใจแต่ละคนล้วนอบอุ่นจนยากอธิบายให้ใครรู้……..(นักเดินทาง อิสรภาพ)
ค่ำคืนแห่งการเติมเต็มการทำงานด้านพัฒนาสังคมและศีลธรรมกับเวทีบ่มเพาะเมล็ดแห่งปัญญาพัฒนาสุขภาวะ ใน“เวทีพัฒนาและสานเครือข่ายพระสงฆ์นักพัฒนาเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาลุ่มแม่น้ำโขง” ที่จัดไปเมื่อวันที่ 25-27 กันยายน 2557 ที่ผ่านมา ณ วัดสะหลีเกิ่งคำ บ้านเกิ่งคำเหนือ เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิการศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง คณะพระวิทยากรฝ่ายกิจการนิสิต ม.มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่ เครือข่ายองค์กรศาสนาด้านเอดส์ และเครือข่ายองค์กรงดเหล้า
การทำงานของพระนักพัฒนาของพื้นที่แขวงบ่อแก้วนี้ ได้อาศัยบารมีธรรมของเจ้าอาญาธรรมคำเงิน วัดดอยแดง เมืองต้นผึ้ง เป็นธงใหญ่นำขบวนพระสงฆ์ทั้งหมดในแขวงในการเคลื่อนงาน โดยมีเจ้าสิทธิ(อาวาส)สมสัก ทิบพาสอน วัดสะหลีเกิ่งคำ บ้านเกิ่งคำเหนือ เจ้าคณะเมืองต้นผึ้งหรือหัวหน้าเจ้าคณะเมืองต้นผึ้งฝ่ายสงฆ์ เป็นศูนย์กลางการจัดเวทีครั้งนี้
แม้จะเป็นปลายเข้าพรรษา พระเณรส่วนใหญ่เรียนหนังสือ เตรียมสอบ เตรียมงานบุญใหญ่ช่วงออกพรรษา แต่ก็เป็นที่น่าดีใจที่มีพระเณรมาร่วมกิจกรรมจำนวน 18 รูป จาก 8 วัด และมีฆราวาสชายหญิง 25 คน จาก 4 ชุมชน กิจกรรมเริ่มต้นด้วยการแนะนำตัวของทีมวิทยากรพระลาว ทีมงานไทยและพระเณรพร้อมกับฆราวาสที่มาร่วมเวทีทั้งหมด ที่สำคัญมีกรรมการวัด 4 ท่านและหัวหน้าหมู่บ้านมาร่วมสังเกตการณ์ พร้อมกับประกาศกระจายเสียงให้ชาวบ้านนำอาหารมาถวายพระและเลี้ยงคนมาร่วมเวทีด้วย
สิ่งที่ทำให้ทั้งพระและฆราวาสนิ่ง จบแทบไม่ยอมขยับตัวไปทางไหน ก็ตอนดูหนังสารคดี “หลวงพี่ช้าง” จากรายการคนค้นคนของทีวีบูรพา ทั้งนี้เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการทำงานให้กับพระพัฒนาสมัยใหม่นั่นเอง หลังจากดูหนังจบ แต่เหมือนคนยังไม่จบ ยังคงพูดคุยเรื่องพระกับคนในหนังอย่างสนุกสนานพร้อมทั้งเปรียบเทียบตนเองกับตัวละครในหนัง ทั้งพระ เณรและชาวบ้าน
กิจกรรมต่อมา จึงเริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามง่ายๆว่า “เราได้อะไรจากหนังเรื่องนี้” หลากหลายคำตอบที่ออกมา เหมือนน้ำทะลักจากเขื่อนแตก สะท้อนทั้งบทบาทพระที่จำเป็นต่อสังคม การเข้าใจในหลักธรรมของชาวบ้าน ปัญหาที่วัดและชุมชนต้องร่วมมือกันแก้ไข จนได้ประเด็นชัดในการแลกเปลี่ยนกัน จึงสรุปประเด็นหารือกัน 3 เรื่อง คือ 1.ปัญหาของชุมชน 2.บทบาทของพระสงฆ์และฆราวาสในการหนุนเสริมร่วมกันพัฒนาชุมชน 3.ความร่วมมือและการใช้ทรัพยากรจากรัฐ
เมื่อได้แบ่งกลุ่มประกอบด้วยพระ เณร ฆราวาสชายและหญิงแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ ละลายพฤติกรรม สร้างความคุ้นเคย เปิดในการทำกิจกรรมร่วมกัน ทำให้ชาวบ้านมีปากเสียง สะท้อนการทำงานร่วมกันระหว่างวัดและชาวบ้านอย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น เช่น พระเณรในวัด รับปากว่าจะร่วมมือกันออกแบบการบริหารวัดโดยให้พระและเณรช่วยกันทำงาน ฆราวาสบอกว่า จะรวมตัวกันเป็นกลุ่มๆแบ่งหน้าที่กันมาช่วยงานวัด โดยตั้งเป้าหมายว่า จะให้รูปแบบการทำงานพัฒนาสังคมระหว่างพระและฆราวาสแบบบ้านน้ำเกิ่งเก่านี้ เป็นต้นแบบของคณะทำงานเครือข่ายพุทธบริษัทไทย-ลาวเพื่อการลดปัจจัยเสี่ยงในแขวงที่ให้พื้นที่อื่นๆมาดูงานได้
เวทีการประชุมหารือกึ่งปฏิบัติการแบบนี้ ทำให้เกิดการเชื่อมโยงเครือข่ายในเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาสู่สังคม ชมชุน ได้เกิดความสงบสุข ภายใต้หลักพุทธธรรม โดยมีพระนิสิตลาวที่ศึกษาอยู่ ณ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่และรุ่นพี่ที่จบไปแล้ว ได้ร่วมมือกันพัฒนาบ้านเกิดตนเอง หรือทำสิ่งที่เกิดประโยชน์ต่อชุมชน เพื่อตอบแทนคุณงามความดีที่พุทธศาสนิกชนให้การอุปถัมภ์ หากจะว่าไปแล้วการเป็นพระสงฆ์ไม่เพียงแต่อยู่ในวัดอย่างเดียว แต่ควรจะต้องออกไปหาชาวบ้าน ดูสิว่าชาวบ้านเป็นทุกข์ด้านไหน หาช่องช่วยเหลือชาวบ้านโดยใช้หลักทางศาสนาและข้อมูลวิชาความรู้ต่างๆไปช่วยแก้ไขปัญหา บทบาทในการไปปลดเปลื้องความทุกข์ของชาวบ้านนี้ เป็นเรื่องสำคัญในการพัฒนาชุมชน เพราะหากชาวบ้านยังยากจน มีปัญหาสารพัดอย่าง แต่พระสงฆ์ในชุมชนนั้นกลับนิ่งเฉย ไม่รับรู้ความทุกข์ยากเหล่านี้ พระสงฆ์ที่ได้ชื่อว่าเป็นที่พึ่งของชาวบ้านก็ไม่มีจริง และในที่สุดชุมชนจะรู้สึกแปลกแยกจากวัดและศาสนา ความร่วมมือกันก็ไม่เกิด นั่นยิ่งจะทำให้ปัญหามากขึ้นและมากขึ้นจนยากจะแก้ไข
พระ ดร.วิสิษฐ์ ฐิตวิสิทฺโธ ประธานโครงการฯ กล่าวว่า “องค์กรด้านสังคมและศาสนาที่ร่วมมือกันทำโครงการนี้ เพราะอยากเห็นพระนิสิตลาวลงไปปฏิบัติการจริงในพื้นที่ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดการทำงานเพื่อสังคม ชุมชน บริการประชาชนควบคู่กับการเรียนไปด้วย เพราะสถาบันสงฆ์จะเข้มแข็งต้องประกอบด้วย ภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา โดยอาศัยตรงนี้เป็นฐานในการทำงาน และเกิดประโยชน์ต่อคนในหมูบ้าน วันนี้ได้เห็นความร่วมมือระหว่างพระสงฆ์ ชาวบ้าน และหน่วยงานต่าง ๆ ในชุมชน ร่วมมือกันพัฒนาวัด ชุมชนให้แก้ไขปัญหาได้ ก็รู้สึกดีใจและมีพลังในการหนุนเสริมงานให้มากขึ้น ด้านทีมพระสงฆ์จากเมืองไทยเองก็จะช่วยเป็นกัลยาณมิตรสนับสนุนและเป็นเพื่อนในการทำงานด้วยกันต่อไป”
“เป็นผลสำเร็จ เหนือกว่าที่คิดไว้เจ้าและจะมีการพัฒนาที่ยั่งยืน อย่างก้าวหน้าอีกตามมาหลายโครงการ ด้วยความสามารถ ด้วยศักยภาพของพระนิสิตลาว รุ่นน้อง รุ่นอ้าย ผสานสามัคคีกัน เพื่อประเทดลาว ของเฮา สาธุ สาธุ สาธุขอบคุณพี่หนานหลายเด้อ ขน้อย มื้อหน้าสิได้เฮ็ดเวียกนำกั๋น เป็นการเดินทางแห่งมิตรภาพ ที่ร่วมงานกันเพื่อพระพุทธศาสนา ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆมากขึ้นระหว่างล้านนา ล้านช้าง และได้เรียนรู้งานพระศาสนาจากตุ๊พี่พระวิทยากรพี่เลี้ยง ได้เข้าใจรับรู้ หลายอย่าง กราบขอบพระคุณตุ๊พี่เจ้า” นางสาวสิริโสภา นิสิตปริญญาโท ม.มหาจุฬาฯ กล่าวด้วยสายตาแห่งความอิ่มเอมใจ
นายธวัชชัย จันจุฬา ผู้ประสานงานโครงการฯ กล่าวเสิรมว่า “โครงการฯนี้ เน้นเป้าหมายเพื่องานเผยแผ่พระพุทธศาสนา เพื่อพันธะสังคมระหว่างชาวบ้านและพระสงฆ์ เพื่อดึงศักยภาพและหน้าที่ของวัดที่แท้จริงกลับคืนมาดั่งเดิม เพื่อบริบทแห่งความเปลี่ยนแปลง และที่สุดคือเพื่อสันติภาพของโลก”
นายประญัติ เกรัมย์ ผู้แทนจากสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า กล่าวว่า “ตลอดการร่วมเวทีที่นี่ ผมเห็นปัญหาร่วมของชุมชนและวัด คือ ปัญหาการไหลบ่าของวัตถุนิยม ทำให้คนรุ่นใหม่พัวพันกับการเสพสิ่งมึนเมา ใช้เทคโนโลยีไม่เหมาะสม ดึงให้คนห่างจากคน ห่างจากวัฒนธรรม ประเพณีและค่านิยมที่ดีงามของชุมชน ส่งผลให้ชาวบ้านและวัดห่างกัน เกี่ยวข้องแค่การทำบุญให้ทานเป็นหลัก
แต่เมื่อภายหลังจบเวทีและกิจกรรมต่างๆ ตลอด 2 วัน ผมมองเห็นอนาคตที่งดงามของที่นี่ เพราะสัมผัสได้ว่า ชาวบ้านน้ำเกิ่งเก่า มีศรัทธา กระตือรืนร้น อยากให้พระเณรมีศักยภาพมาอบรมชาวบ้านและนักเรียน อยากเข้าร่วมและจัดเวทีแลกเปลี่ยนปัญหาและความร่วมมือกันทำงานของชาวบ้านและวัด เพื่อให้เข้าใจวิธีคิดชาวบ้านผ่านการสะท้อนผ่านวงแลกเปลี่ยน เพื่อปรับทัศนคติให้ทำงานร่วมกันได้ ช่วยกันสร้างพื้นที่ให้พระสงฆ์มีความสามัคคีและแก้ปัญหาร่วมกัน ที่สำคัญที่สุดคือ ได้เห็นการปรับทัศนคติของพระนิสิตเอง ที่พยายามก้าวข้ามจากการเป็นนักอบรมไปสู่การเป็นนักจัดกระบวนการ มีเทคนิคในการเปิดพื้นที่ให้ชาวบ้านกับพระได้สนทนากันแบบกันเอง เรียนรู้กระบวนการและกิจกรรมที่เหมาะสมพร้อมกับความต้องการของชาวบ้านจากพระจริงๆ เปิดพื้นที่ได้หนุนเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างพระและชาวบ้านอย่างมีความสุข นี่น่าจะเป็นการเริ่มต้นเล็กๆ ที่นำไปสู่การเติบโตอย่างยิ่งใหญ่”
ดอกผลของการทำกิจกรรมในโครงการนี้ สะท้อนจากวงสรุปงานเล็กๆว่า หลังจากนี้ เรื่องที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อวัดและชุมชน จะมีการลงไปทำกิจกรรมอบรมนักเรียนที่เมืองปากทาเพื่อเปิดพื้นที่ให้เยาวชนมามีส่วนร่วม จะมีการจัดเวทีเพื่อพัฒนากระบวนกรสำหรับทำกระบวนการที่เป็นความร่วมคิดร่วมทำแบบนี้อีก (พระ ชาวบ้าน เยาวชน ฝ่ายปกครอง) สุดท้าย คือ พันธสัญญาที่คณะพระสงฆ์นักพัฒนาและทีมงานจะลงมาติดตามผลการดำเนินงานจากการประชุม พร้อมกับหาหรือแนวทางการทำงานร่วมกันในระยะต่อไป
ที่มา: โครงการเสริมพลังเครือข่ายพระสงฆ์นักพัฒนาเพื่อสังคมควบคุมปัจจัยเสี่ยง