เลิก“รับน้อง”แบบเดิมๆ หันมาเพิ่มความรักให้กัน

 

รับน้อง

หลังจากฟันฝ่าก้าวข้ามเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยกันมาจนเป็นที่ภาคภูมิในของครอบครัวแล้ว ภารกิจที่น้องใหม่หลายๆ คนเฝ้ารอ คือ การ “รับน้องใหม่” เพราะเป็นกิจกรรมที่นักศึกษารุ่นพี่มาร่วมสานความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง รวมไปถึงการละลายพฤติกรรมของเหล่านักศึกษาใหม่ แต่ที่หลายฝ่ายเป็นห่วง เพราะการรับน้องของบางสถาบันมากจนเกินพอดี แถมไม่สร้างสรรค์ อาจด้วยความคึกคะนองจึงเกิดเป็นการรับน้องที่มีความรุนแรงและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้ามาเกี่ยวข้อง จนเป็น “โศกนาฏกรรม” อย่างที่เป็นข่าวให้เห็นกันแทบทุกปี และนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ต้องมีการรณรงค์รับน้องกันอย่างสร้างสรรค์

ด้วยเหตุผลข้างต้น ทำให้เกิด “โครงการรับน้องปลอดเหล้า” ขึ้นภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สสส.โดยในปี 55 นี้ได้ดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 8 ซึ่ง ดร.สุชาติ ทวีพรปฐมกุล ผู้จัดการแผนงานทุนอุปถัมภ์กิจกรรมปลอดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานศึกษา ได้บอกกับเราว่า จากการสำรวจสถาบันที่เข้าร่วมโครงการรับน้องปลอดเหล้า ในปีที่ผ่านมาไม่ปรากฏว่ามีการรับน้องที่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่และความรุนแรงอยู่เลย จากที่ผ่านมามันมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดวันนี้มั่นใจว่า ในช่วงกิจกรรมของสถานศึกษาส่วนใหญ่ จะไม่มีความรุนแรง และเหล้าเข้าไปเกี่ยวอย่างแน่นอน

“แต่ทั้งนี้ที่มีปรากฏอยู่ในหน้าสื่อต่างๆ นั้น มักจะเป็นพวกรุ่นพี่ที่เป็นกลุ่ม แก๊ง ออกไปจัดกันเองที่นอกสถาบัน ซึ่งถือเป็นกลุ่มเล็ก แต่ก็ต้องจับตามองคอยระวังเช่นกัน” ดร.สุชาติกล่าว

รูปแบบของโครงการรับน้องปลอดเหล้าในปี 2555 นี้ ดร.สุชาติ บอกว่า ในปีนี้เราไม่ได้เน้นแค่การรับน้องเพียงอย่างเดียว  แต่เราจะรวมไปถึงทุกกิจกรรมที่นักศึกษาจัดตลอดทั้งปีการศึกษา ไม่ว่าจะเรื่องของกีฬา ศิลปวัฒธรรม อีกทั้งจะขยายไปชุมชนโดยรอบสถาบัน  และจะทำให้เป็นประเพณีวัฒนธรรมของชุมชน โดยร่วมกับสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า(สคล.)เพื่อดำเนินการให้ครอบคลุมต่อไปด้วย

“ในปีนี้เราเน้นตัวนโยบายเป็นส่วนมาก โดยทางกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะหน่วยงานหลักที่กำกับดูแลนิสิต นักศึกษาและเยาวชนทั่วประเทศ ได้มอบหมายนโยบายไปยังสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ ให้เข้มงวดในการควบคุมและดูแลกิจกรรมต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในสถาบันการศึกษา โดยให้เลี่ยงกิจกรรมที่รุนแรง และต้องไม่มีอบายมุข ซึ่งแต่ละสถาบันต้องออกกฎระเบียบข้อบังคับให้เป็นนโยบายระดับสถาบันการศึกษา พร้อมประชาสัมพันธ์ให้รับรู้ถึงการจัดกิจกรรม และนักศึกษาจะต้องเข้าร่วมกิจกรรมแบบสมัครใจ โดยสถาบันจะต้องมีศูนย์ที่รับแจ้งเหตุ เพื่อรับข้อมูล รวมทั้งบทลงโทษกับผู้จัดกิจกรรมที่ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน กฎระเบียบของสถาบันหรือนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ” ดร.สุชาติกล่าว

หากย้อนกลับมาดูในเรื่องของการรับน้องที่มีความรุนแรงและเหล้านั้น ดร.สุชาติบอกว่า สาเหตุสำคัญอาจจะเป็นเรื่องของ นักศึกษารุ่นพี่และวัฒนธรรมเดิมๆ เมื่อมีการรับน้องดังกล่าว พอโตเป็นรุ่นพี่ก็จะให้หลักหรือวิธีเดิมๆ ในการรับน้องรุ่นต่อไป มันก็เลยเป็นต่อๆ นานหลายปี กว่า 10 ปีที่เราเข้าไปดำเนินดูแลจัดการ เราใช้ทฤษฏี “น้ำดีไล่น้ำเสียออกไป” ค่อยๆ ปลูกฝัง พอมาถึงปัจจุบัน เมื่อการรับน้องมีกิจกรรมที่สร้างสรรค์ขึ้น พอเขาโตเป็นรุนพี่ มันก็จะไม่มีเรื่องความรุนแรง หรือเหล้า บุหรี่เข้าไปอยู่ในกิจกรรมเลย

“สุดท้ายนี้จึงอยากฝากถึงรุ่นพี่นักศึกษาในทุกๆ สถาบัน ไม่เฉพาะแค่สถาบันในโครงการ ปัจจุบันสังคมมันได้เปลี่ยนไปแล้ว   ทั้งนี้วัฒนธรรมเดิมๆ ประเพณีเดิมๆ ที่รับน้องกันมาถือว่ามีวัตถุประสงค์ที่ดี อยากให้น้องเข้ากันดีได้ เพื่อเชื่อมโยงกันระหว่างรุ่นพี่-น้อง แต่ “นักศึกษา” คือผู้บริสุทธิ์ เราก็อยากให้รุ่นน้องนักศึกษาเป็นผู้บริสุทธิ์เช่นกัน จึงจำเป็นที่รุ่นพี่ต้องมีการปรับวิธีการ กิจกรรมที่ใช้รับน้อง รวมไปถึงกิจกรรมอื่นๆ เสียใหม่เพื่อให้เข้ากับบริบทของสังคมในยุคปัจจุบันต่อไป” ดร.สุชาติกล่าว

“รับน้อง” อาจไม่ใช่เรื่องที่คุณพ่อคุณแม่ หรือแม้แต่ตัวนักศึกษาเองต้องกลัวหรือกังวลใจ เมื่อก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยอีกต่อไป เพราะนั่นคือกิจกรรมที่ล้วนมีจุดประสงค์ที่ดีที่ต้องการสานความสัมพันธ์ระหว่างกัน เพียงแค่ รุ่นพี่หยุด….ความรุนแรง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงสิ่งเสพติดทั้งหลายไว้ แล้วมารับน้องอย่างสร้างสรรค์กันดีกว่าค่ะ

 

 

เรื่องโดย : ณัฏฐ์ ตุ้มภู่ Teamcontent www.thaihealth.or.th

Shares:
QR Code :
QR Code