เร่งยกระดับอาหารไทยสู่ครัวโลก
เร่งยกระดับอาหารไทยสู่ครัวโลก วิทยาสั่งคุมเข้มให้ได้มาตรฐานเน้นร้านค้า-ตลาดสด-แผงลอย
นายวิทยา บุรณศิริ รมว.กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า รัฐบาลมีนโยบายให้ประเทศไทยเป็นครัวอาหารของโลก โดยทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลเรื่องคุณภาพมาตรฐานของอาหารไทยให้ทัดเทียมกับมาตรฐานสากล มีความปลอดภัย ซึ่งคุณภาพมาตรฐานของอาหาร ผลิตภัณฑ์ รวมทั้งแหล่งจำหน่ายและแหล่งผลิตสินค้านั้นๆ คือ หลักประกันอย่างหนึ่งของการก้าวสู่สากลหรือการยอมรับในระดับโลก ที่จะช่วยสร้างรายได้ให้ประเทศอย่างมหาศาล
นายวิทยา กล่าวว่า ในการดูแลความปลอดภัยด้านอาหาร กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้มอบหมายให้สำนักส่งเสริม และสนับสนุนอาหารปลอดภัย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ทำการเฝ้าระวังความปลอดภัยในอาหาร ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ทั่วประเทศ เน้นดำเนินการ 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1.กลุ่มผลิตแปรรูปอาหาร 2.กลุ่มแหล่งกระจายอาหาร ได้แก่ ตลาดค้าส่ง ตลาดสด ห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหาร แผงลอย โรงครัวในโรงพยาบาล โรงอาหารในโรงเรียนและศูนย์เด็กเล็ก และ 3.กลุ่มของอาหารที่จะต้องปลอดการปนเปื้อนสารอันตรายและเชื้อโรคที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค
สำหรับผลการตรวจสอบที่ผ่านมาพบว่า แหล่งผลิตร้อยละ 93 ผ่านเกณฑ์มาตรฐานจีเอ็มพี (gmp: good manufacturing practice) สถานที่ ที่ยังไม่ผ่านเกณฑ์ ส่วนใหญ่เป็นโรงงานผลิตน้ำดื่มและน้ำแข็ง ส่วนแหล่งกระจายอาหารผลการตรวจยังไม่ผ่านเกณฑ์ สุขาภิบาลและอาหารสะอาดร้อยละ 15 ซึ่งได้กำชับเร่งรัดให้หน่วยงานให้ความรู้ และสนับสนุนผู้ประกอบการเพื่อให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ความปลอดภัย
นายวิทยา กล่าวอีกว่า ส่วนกลุ่มของอาหารทั้งดิบและสุก ผลการสุ่มตรวจสอบตัวอย่างอาหารทั่วประเทศ 435,740 ตัวอย่าง ในปี 2554 พบมีการปนเปื้อนสารเคมีและเชื้อจุลินทรีย์ 15,869 ตัวอย่าง หรือร้อยละ 4 อาหารที่ตกมาตรฐานมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ น้ำแข็ง น้ำดื่ม และอาหารปรุงจำหน่าย โดยพบจุลินทรีย์ที่มือ ที่หยิบจับอาหาร เนื่องจากพ่อค้า-แม่ค้าปฏิบัติตนไม่ถูกต้องตามสุขลักษณะ เช่น ไม่ล้างมือ ไม่ทำความสะอาดภาชนะใส่อาหาร ได้กำชับให้ทุกจังหวัดเร่งดำเนินการจัดอบรม ให้ความรู้ในเรื่องความสะอาด อย่างเข้มงวดเพื่อให้อาหารปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ สธ.ยังมีระบบการเฝ้าระวังผลกระทบ กรณีเกิดภาวะฉุกเฉินด้านความปลอดภัยอาหารร่วมกับองค์กรนานาชาติด้วย (international food safety authority network : infosan) ทำให้สามารถวางระบบป้องกันอันตรายได้อย่างทันท่วงที เมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นในต่างประเทศ เช่น กรณีของวัวติดเชื้อโรควัวบ้า เป็นต้น
ที่มา: หนังสือพิมพ์แนวหน้า