เร่งฉีดวัคซีน HPV สกัด “มะเร็งปากมดลูก”

ที่มา :  เว็บไซต์ไทยรัฐ


เร่งฉีดวัคซีน HPV สกัด


แฟ้มภาพ


ในแต่ละปีจะมีผู้หญิงเฉลี่ยวันละ 753 ราย หรือประมาณ 275,000 ราย เสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูก และมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นปีละกว่า 500,000 ราย องค์การอนามัยโลกประมาณการว่าในทุกๆ 2 นาที ทั่วโลกจะมีผู้หญิงเสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูก 1 ราย


สำหรับประเทศไทย “มะเร็งปากมดลูก” เป็นโรคมะเร็งในสตรีที่พบเป็นอันดับ 2 รองจากมะเร็งเต้านม ทุกๆปีจะมีผู้หญิงไทยป่วยมะเร็งปากมดลูกรายใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 10,000 ราย ในจำนวนนี้เสียชีวิตเฉลี่ยปีละประมาณ 6,500 ราย หรือวันละ 17 รายสาเหตุสำคัญของมะเร็งปากมดลูกเกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่ชื่อ humen papilloma virus หรือไวรัสเอชพีวี (hpv) ซึ่งมีหลายสายพันธุ์ แต่สายพันธุ์ที่ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องคลอด มะเร็งทวารหนัก และมะเร็งองคชาต คือสายพันธุ์ 16 กับ 18


แต่แม้ว่าจำนวนตัวเลขของผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกจะเพิ่มมากขึ้น แต่ในทางตรงกันข้าม เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ล้ำสมัยก็สามารถที่จะพัฒนา “วัคซีน” เพื่อป้องกันมะเร็งชนิดนี้ได้


ดร.นพ.จรุง เมืองชนะ ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ (สวช.) ให้ข้อมูลว่า มีข้อมูลทางวิชาการยืนยันชัดเจนว่า กว่า 70% ของมะเร็งปากมดลูกเกิดจากไวรัสเอชพีวี สายพันธุ์ 16 และ 18 ซึ่งสามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน โดยพบว่าการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสเอชพีวีให้แก่เด็กผู้หญิงควบคู่ไปกับการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเมื่ออายุ 30-60 ปี สามารถป้องกันการเกิดโรคได้มากกว่า 2 ใน 3 ถือเป็นการลดความเสี่ยงจากการป่วย และตายด้วยโรคมะเร็งปากมดลูกได้ ด้วยเหตุผลดังกล่าว ประเทศไทยโดยคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ภายใต้คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ จึงได้พิจารณาให้บรรจุวัคซีนเอชพีวีในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของประเทศไทย มาตั้งแต่ปี 2554 และกระทรวงสาธารณสุขได้เริ่มให้บริการวัคซีนเอชพีวีในโรงเรียนแก่เด็กผู้หญิงชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยไม่คิดมูลค่ามาก่อนหน้านี้แล้ว


 “มีการแนะนำให้ฉีดวัคซีนแก่เด็กวัยรุ่นหญิง ผู้หญิงอายุ 9-26 ปี โดยช่วงที่ดีที่สุดที่ควรฉีดคือ ช่วงอายุ 11-15 ปี เพราะพบว่าเป็นอายุที่เหมาะสมและได้ประโยชน์สูงสุด เนื่องจากเป็นอายุก่อนเริ่มมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก ที่ยังไม่ติดเชื้อ HPV และพบว่ามีระดับภูมิคุ้มกันสูงกว่า 2 เท่าเมื่อเปรียบเทียบกับการฉีดในช่วงอายุ 16-26 ปี” คุณหมอจรุงอธิบาย


ผอ.สถาบันวัคซีนแห่งชาติ บอกว่า จากข้อมูลดังกล่าว อายุที่เหมาะสมที่จะฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกมากที่สุดคือ ป.5 เนื่องจาก 97% ของเด็กกลุ่มนี้ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์และยังเป็นวิธีการที่เหมาะสม เพราะการให้บริการฉีดวัคซีนในโรงเรียนส่งผลให้อัตราความครอบคลุมของการได้รับวัคซีนครบทั้งสองเข็มสูง ซึ่งหลังการฉีดวัคซีนไปแล้ว คาดว่าอีกประมาณ 30 ปี ข้างหน้าจะเริ่มเห็นการลดลงของอุบัติการณ์มะเร็งปากมดลูกอย่างชัดเจน


อย่างไรก็ตาม คุณหมอจรุง บอกว่า แม้จะเริ่มมีการฉีดวัคซีนไปบ้างแล้วก็ตามแต่ก็ยังคงมีเยาวชนไทยจำนวนมากที่มีความเสี่ยงต่อมะเร็งปากมดลูกแต่อยู่นอกเป้าหมายของบริการวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกตามแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของประเทศ ล่าสุด สถาบันวัคซีนแห่งชาติจึงได้เสนอ


“ทางเลือกการขยายการเข้าถึงวัคซีนป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกในเยาวชนไทย” (HPV vaccine catch-up) ต่อคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค เพื่อให้ความเห็นต่อการขยายกลุ่มอายุการเข้าถึงวัคซีนชนิดนี้ในเยาวชนไทย โดยเสนอทางเลือกเป็นแนวทาง 4 ทางเลือก คือ 1.ให้รัฐบาลสนับสนุนงบประมาณให้กับกระทรวงสาธารณสุขดำเนินโครงการ 2.จัดทำเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน โดยประชาชนร่วมจ่ายวัคซีนราคาถูกกว่าท้องตลาด 3.หน่วยงานรัฐในแต่ละพื้นที่มีความพร้อมเป็นผู้สนับสนุนงบประมาณ เช่น อปท. และสำนักอนามัย กทม. และ 4.ประชาชนจ่ายเงินซื้อวัคซีนเอง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เยาวชนไทยที่อยู่นอกเป้าหมายของบริการวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกตามแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของประเทศสามารถเข้าถึงวัคซีนได้ ด้วยการลดอุปสรรคด้านราคาวัคซีน เพื่อลดจำนวนผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูก และลดผลกระทบจากมะเร็งปากมดลูกในประชาชนไทยให้ได้ในระยะเวลาอันสั้น


 “กลุ่มเป้าหมายคือ เยาวชนไทยหญิงที่มีอายุระหว่าง 12-18 ปี ซึ่งนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขคาด-การณ์ว่าถ้าสามารถเพิ่มการให้บริการวัคซีนเอชพีวีในเด็กนักเรียนประถมปลายจนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่อยู่นอกเป้าหมายของบริการวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกตามแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของประเทศได้ จะสามารถลดภาระมะเร็งปากมดลูกของประเทศได้รวดเร็วขึ้น 8 ปี คิดเป็นจำนวนผู้ป่วยที่สามารถป้องกันได้เพิ่มขึ้นอีกกว่า 22,000 ราย และช่วยลดการสูญเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคได้อย่างมหาศาล” ผอ.สถาบันวัคซีนแห่งชาติบอกและว่า ล่าสุดคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคสนับสนุนทางเลือกที่ 3 คือ ให้หน่วยงานท้องถิ่นที่มีศักยภาพพิจารณาจัดหาวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกมาให้บริการฟรีกับเยาวชนกลุ่มดังกล่าวได้อย่างครอบคลุมและครบถ้วนมากยิ่งขึ้น รวมทั้งทางเลือกที่ 4 หากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีข้อจำกัดในด้านงบประมาณและหรือด้านอื่นๆ โดยสนับสนุนให้วัคซีนเอชพีวีเป็นวัคซีนทางเลือกสำหรับผู้ปกครองที่ต้องจ่ายเงินซื้อวัคซีนเองสำหรับเยาวชนกลุ่มดังกล่าว


ผลการศึกษาเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกทั้งชนิด 4 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์ 6, 11, 16 และ 18 ป้องกันทั้งมะเร็งปากมดลูกที่เกิดจากเชื้อ HPV สายพันธุ์ 16 และ 18 รวมทั้งป้องกันหูดบริเวณอวัยวะเพศที่เกิดจากเชื้อ HPV สายพันธุ์ 6 และ 112 และชนิด 2 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์ 16 และ 18 พบว่ามีความปลอดภัยสูง มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคมะเร็งที่เกิดจากเชื้อ HPV สายพันธุ์ 16 และ 18 ได้สูงถึง 99% โดยต้องฉีดทั้งหมด 3 เข็ม ให้กับเด็กก่อนที่จะมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก หรือฉีดตั้งแต่อายุประมาณ 11-12 ปี คาดการณ์ว่าสามารถป้องกันการติดเชื้อเอชพีวีได้อย่างน้อย 30 ปี โดยไม่ต้องฉีดกระตุ้น.

Shares:
QR Code :
QR Code