เยี่ยมวิถีเมืองงอย ‘ชาวบ้าน-ป่า’พึ่งพากัน
สามชั่วโมงจากหลวงพระบางมาตามเส้นทางสายแคบและขรุขระแบบไม่ยอมให้ผู้โดยสารหลับตาง่ายๆ แต่ด้วยวิวสองข้างทางที่เต็มไปด้วยทิวเขาสีเขียว ขนาบด้วยแม่น้ำสายใหญ่ สามชั่วโมงจึงสั้นเพียงพริบตาเดียว ก็ถึงท่าเรือหนองเขียว เบื้องหน้าเป็นแม่น้ำสายใหญ่สีขุ่นเข้มไหลแรง ฉากหลังเป็นภูเขาลูกโต ที่มีเมฆลอยเอื่อยๆ อยู่ต่ำๆ บอกว่านี่คือช่วงหน้าฝนอันอุดมสมบูรณ์
ณ จุดนี้ ชาวคณะเครือข่ายอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง-ล้านนา และคณะโครงการพัฒนาทักษะการสื่อสารเพื่อการทำข่าวสืบสวนสอบสวนประเด็นสุขภาวะในพื้นที่พรมแดน สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ยังมุ่งหน้าเดินทางต่อไปบนลำน้ำอู โดยมี จุดหมายอยู่ที่เมืองงอยเก่า แขวงหลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ที่แม้ว่าขณะนั้นจะมีสีแดงขุ่นคลั่ก แต่กลับกันหากมาช่วงหน้าร้อนลำน้ำอูจะใสราวกระจก
การเดินทางมาครั้งนี้ ด้วยภาคประชาชนเชียงของจ.เชียงราย มีสายสัมพันธ์อันดีกับภาคประชาชน (ไทบ้าน) เมืองงอย สปป.ลาว มีการเดินทางไปมาหาสู่เยี่ยมเยือนกันมาหลายครั้ง ด้วยหลายเหตุผลทั้งการแลกเปลี่ยน เรียนรู้วัฒนธรรม แนวคิดในการอนุรักษ์ทรัพยากรลุ่มน้ำตามแบบองค์ความรู้ของชาวบ้าน เพราะทั้งสองฝ่ายก็ล้วนแต่พึ่งพาอาศัยลำน้ำ ป่าเขาเหมือนๆ กัน และทั้งสองชุมชนในลุ่มน้ำโขงและน้ำอู ประสบปัญหาคล้ายกัน คือเรื่องการพัฒนาลุ่มน้ำจากโครงการก่อสร้างเขื่อนที่ทำให้ชีวิตทั้งหมดเปลี่ยนไป
ลำน้ำอูยาวประมาณ 484 ก.ม. ถือเป็นแม่น้ำสาขาของแม่น้ำโขงที่ยาวที่สุดในสปป.ลาว ซึ่งทุกวันนี้สปป.ลาวจะมีสินค้าส่งออก คือ ไฟฟ้า จนได้รับการขนานนามว่า battery of asia แต่ไม่แน่ชัดว่าชาวบ้านยินดีด้วย หรือไม่โครงการที่จะเกิดขึ้นในอนาคตกับลำน้ำสงบนี้ คือการก่อสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำอูแบบ “ขั้นบันได” ถึง 7 แห่งในระยะเวลา 10 ปี อาจเป็นเพราะลักษณะประเทศที่มีชัยภูมิเหมาะกับการสร้างเขื่อน ซึ่งปัจจุบันกำลังสร้าง 2 แห่ง คือ เขื่อนหมายเลข 2 (ใต้เมืองหนองเขียว) และหมายเลข 5 (เหนือเมืองขัว)
แน่นอนว่าเมื่อใดที่เขื่อนมาถึง ชีวิตของผู้คนริมสองฝั่งน้ำอู รวมทั้งระบบนิเวศจะไม่มีวันเหมือนเดิม
สภาพเมืองงอย เมื่อชาวคณะเดินทางมาถึงยังเป็นชุมชนเล็กๆ แถวริมน้ำอาจปรับสภาพเป็นโฮมสเตย์ ที่พักพิงสำหรับนักท่องเที่ยว แต่เมื่อเดินเข้าไปในหมู่บ้านยังได้เห็นสภาพดั้งเดิม ที่มีถนนดินพาดยาวกลางหมู่บ้าน ฉากหลังเป็นทิวเขาสูง เลยเข้าไปในหมู่บ้านมีพื้นที่ทำการเกษตรไร่นา ข้าวโพด มีลำธารเล็กๆ ใสแจ๋ว ที่นี่ถือเป็นชุมชนเก่าแก่ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวบ้านได้อาศัยถ้ำก่าง ติดแม่น้ำงอย เป็นสถานที่หลบระเบิดที่ตกลงมาเหมือนห่าฝน
นายคำเผย รองผู้ใหญ่บ้านเมืองงอย ให้ข้อมูลว่า ส่วนใหญ่ชาวเมืองงอย ประกอบอาชีพทำไร่ ทำนา และอาชีพประมง ส่วนการท่องเที่ยวนั้น เพิ่งจะเริ่มต้นได้ไม่นาน โดยนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ และจะเริ่มเดินทางมาช่วงต.ค.-ก.พ. รูปแบบการท่องเที่ยวเป็นแบบสงบๆ เน้นกิจกรรมผจญภัย เช่น คายัค ปีนผา ล่องเรือ เดินป่า เป็นต้น ตามสภาพภูมิประเทศ
ส่วนร้านอาหารผับบาร์ก็มีแต่บางตา และปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยปิดร้านในเวลาสามทุ่มเท่านั้น
ในด้านการอนุรักษ์ทรัพยากร ชาวบ้านเมืองงอยใช้วิธีการบวชป่า โดยนำพระไปสวดมนต์ และมีการประกาศเขตป่าสงวนห้ามล่าสัตว์ประมาณ 41 เฮกตาร์ หรือกว่า 256 ไร่ นอกจากนี้ ยังมีการเรียนรู้จากชาวเชียงของ ในการตั้งกองทุนหมู่บ้าน กองทุนสตรี สะสมเงินกองทุนเพื่อพัฒนาหมู่บ้านด้วย
สิ่งที่น่าสนใจในการทำประมงของชาวบ้าน ถือว่ามีชื่อเสียงที่สุดในเมืองงอย และถือเป็นเอกลักษณ์ คือ “การดักกุ้ง” โดยต้องมีการประมูลราคาสัมปทานแข่งกันครูตี๋ นิวัฒน์ ร้อยแก้ว สัมปทานแต่ละแห่ง มีราคาสัมปทานที่ปีละ 7 ล้าน 5 แสนกีบ หรือประมาณ 3 หมื่นบาท แต่ละแห่งจะมีเจ้าของรวมกัน ประมาณ 10 คน และกระจายรายได้กำไรแบ่งกันแต่ละเจ้า ราคาขายอยู่ที่ 270-300 บาทต่อกิโลกรัมสัมปทานกุ้ง
เลยจากเมืองงอยเก่าขึ้นไป จะมีการทำประมงกุ้งที่ไม่เหมือนใคร โดยทำได้แค่เดือน ส.ค.-ก.ย. เท่านั้น เจ้าของสัมปทานจะสร้างอุปกรณ์ดักกุ้งไว้ที่ชายน้ำ ซึ่งมีน้ำใสแจ๋วไหลลงมาจากภูเขา โดยจะสานไม้ไผ่กั้นระหว่างน้ำใส กับน้ำสีเข้ม แล้วใช้ไม้ไผ่สานขนาดถี่ๆ เหมือนไซดักไว้ตามไม้ไผ่สานขนาดยักษ์ กุ้งแม่น้ำจะว่ายจากแม่น้ำสายใหญ่มาหาช่องน้ำใสตามริมน้ำ โดยกุ้งขนาดใหญ่กว่านิ้วหัวแม่มือนิดหน่อย แต่รสชาติดี
เหนือขึ้นไปจากเมืองงอยเก่า คือ หมู่บ้านสบแจม ชาวบ้านยังคง มีอาชีพเกษตรกรรม และประมงเป็นหลักเช่นกัน แต่ทอผ้าเป็นอาชีพเสริม เมื่อมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมแต่ละบ้านก็ปรับเปลี่ยนนำผ้าทอมือมาแขวนขายทำให้หมู่บ้านเต็มไปด้วยสีสันของผ้าทอไม่น้อย
โดยน่าแปลกใจว่าแม้หมู่บ้านจะอยู่ไกล แต่ประชาชนในหมู่บ้านกลับไม่ค่อยเจ็บป่วยด้วยโรคที่รุนแรงนัก และรักษากันไปตามภูมิปัญญาโดยใช้สมุนไพรในป่า ซึ่ง น่าจะเป็นเพราะอาหารการกิน อากาศที่ดี ทำให้คนแถบนี้มีสุขภาพดีไปด้วย ความเกี่ยวข้องระหว่างเมืองงอยและเชียงของ สิ่งหนึ่งคือเป็นพื้นที่ ที่ได้รับผลจากการพัฒนาลุ่มน้ำโขงเหมือนกัน
ครูตี๋ นิวัฒน์ ร้อยแก้ว เครือข่ายอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง-ล้านนา กล่าวว่า ไทยมีประสบการณ์ทั้งการถูกทำลายทรัพยากรและอนุรักษ์ทรัพยากร ซึ่งการบวชป่าวังสงวน ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ชาวเมืองงอยได้เห็นและเชื่อว่าทำได้จริง ถึงลงมือทำ แต่สิ่งสำคัญดูเหมือนจะเป็นการทำความเข้าใจกับคนในชุมชนของตัวเอง เมื่อเข้าใจตรงกันการอนุรักษ์ก็สามารถทำได้ประสบผลสำเร็จ
ส่วนเรื่องเขื่อนนั้น ครูตี๋ให้ทัศนะว่า มีองค์ประกอบจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นข้ออ้างการพัฒนา การจัดการน้ำ แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องคิด คือ การรักษาทรัพยากรธรรมชาติ คงต้องเอาไปตอบว่าเอาเขื่อนแล้วคุ้มหรือไม่ที่จะอยู่ต่อไปได้อย่างยั่งยืนปัจจุบันคนเราลืมคิดไปว่าจะอยู่อย่างไรให้ยั่งยืนและเป็นสุข
ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด โดย เมธาวี มัชฌันติกะ