‘เมืองไทย เมืองสุขภาวะ’
สาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตของคนทั่วโลกกว่า 3,000,000 คนต่อปี ส่วนใหญ่มาจากโรคหัวใจ โรคหลอดเลือด โรคเบาหวาน และโรคมะเร็ง ในตัวเลข 3,000,000 คน มี “คนไทย” จำนวนไม่น้อยที่ต้องสูญเสียชีวิต โดยมีสาเหตุใหญ่มาจากการหลงลืมการ “ป้องกันสุขภาพ” แต่กลับไปให้ความสำคัญในเรื่องของการ “รักษา” ซึ่งอาจจะสายเกินแก้เสียแล้ว
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ในฐานะผู้ดูแลสุขภาพคนไทยโดยตรง จึงได้ร่วมกับเครือข่ายภาคีด้านสุขภาพ และกรุงเทพมหานคร จัด “มหกรรมกีฬามหามงคล 2554 เทิดพระเกียรติปีมหามงคล 84 พรรษา”เมื่อวันที่ 5 พ.ค. ที่ผ่านมา ณ สวนลุมพินี
โครงการดังกล่าว จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 โดยหวังกระตุ้นเตือนให้ประชาชนทุกเพศ ทุกวัย ปรับวิถีชีวิต ให้ความสำคัญกับการ “เคลื่อนไหวร่างกาย”ในทุกมิติ เพื่อใช้เป็น “เกราะป้องกันโรค” และปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพ ในทุกๆ ด้านที่สำคัญ ผลดีของการส่งเสริมให้คนไทยลุกขึ้นมา “ขยับกาย” นั้น ยังช่วย “ลดภาระด้านสุขภาพ”ให้กับคนไทย โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายด้านการรักษาสุขภาพเพิ่ม
ถ้าทำให้คนไทยร่วมมือกันทำจุดเริ่มต้นจุดนี้ได้ โอกาสที่เมืองไทย จะกลายเป็น “เมืองสุขภาวะ”ก็ไม่ยากอย่างที่คิด…
สอดคล้องกับการเสวนาหัวข้อ“ร่วมกันมองอนาคตประเทศไทยสู่การเป็นเมืองสุขภาวะ” ที่มี ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ผู้จัดการ สสส. และหน่วยงานภาคีต่างๆ อาทิ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เทศบาลเมืองพัทยา เพื่อร่วมกันหาแนวทางและผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นเมืองสุขภาวะอย่างยั่งยืน
ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ผู้จัดการ สสส. กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ในอีก 10 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะเข้าสู่ภาวะที่ลำบาก แม้จะขยับฐานะเป็นประเทศที่ร่ำรวยมากขึ้น แต่ในภาพรวมเรื่องของสุขภาพจะพบว่าจะป่วยเป็นโรคที่ไม่เคยป่วยมากขึ้น หรือป่วยในโรคไม่ติดต่อเพิ่มขึ้น เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและโรคอ้วน เป็นต้น อย่างโรคหัวใจจะพบว่ามีการประมาณการว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาปีละแสนล้านบาท และที่สำคัญโรคเหล่านี้เมื่อรักษาแล้วจะไม่หายเป็นปกติเหมือนเดิม
“ปัจจุบันพบว่าคนไทยยังออกกำลังกายกันน้อย เพียงร้อยละ 30 เท่านั้น และเป็นที่มาของการเจ็บป่วยโดยเฉพาะโรคที่เป็นโรคเงียบเหล่านี้ ทำให้ประเทศไทยต้องแบกรับภาระการรักษาพยาบาล และการดูแลสุขภาพมากถึงปีละ 300,000 ล้านบาทเลยทีเดียว”
ทพ.กฤษดากล่าวอีกว่า ดังนั้น บทบาทหน้าที่ที่ สสส. ต้องทำต่อเนื่องคือการเพิ่มพื้นที่และสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการให้ประชาชนได้ออกกำลังกายได้ง่าย หรือแม้แต่ผลักดันให้การควบคุมการโฆษณาขนมกรุบกรอบ ที่พบว่าประเทศไทย เป็นประเทศที่มีการโฆษณาขนมกรุบกรอบมากที่สุดในโลก เฉลี่ยชั่วโมงละ 30 ครั้ง เนื่องจากเรายังไม่มีคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. เข้ามาช่วยควบคุม ส่งผลให้มีการโฆษณาอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพค่อนข้างมาก
“จุดนี้เอง สสส. จึงเห็นความสำคัญในเรื่องการป้องกันมากกว่าการรักษา เพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพให้กับประชาชน ได้ส่งเสริมให้คนไทยหันมาป้องกันสุขภาวะของตัวเอง ด้วยการออกกำลังกาย ทั้งนี้ จำเป็นที่จะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการสนับสนุน เพื่อนำไปสู่การร่วมสร้างเมืองไทยให้น่าอยู่อย่างยั่งยืน”
ด้าน ดร.เสกสรรค์ นาควงษ์ ผู้แทนกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า เป้าหมายของกระทรวง มีการวางยุทธศาสตร์ 5 ปี (2555-2559) เพื่อให้อัตราการออกกำลังกายของประชาชนเพิ่มจาก 30% เป็น 60% ภายในปี 2555 อีกทั้งยังสนับสนุนการสร้างเครือข่ายทั้งภาคส่วนท้องถิ่นและองค์กรต่างๆ มีการจัดสรรอุปกรณ์กีฬาไปยังทุกอำเภอในแต่ละจังหวัด มีการผลิตสื่อเพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนเพื่อผลักดันให้มีการออกกำลังกายเพิ่มมากขี้น
“รวมถึงรณรงค์ สร้างความตระหนัก ให้ประชาชนเห็นความสำคัญ เป็นองค์กรที่มีสุขภาพแข็งแรง และส่งเสริม สนับสนุนให้ความรู้ เพื่อให้มีกิจกรรมการออกกำลังกายโดยไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ที่แพง และสามารถเข้าถึงสถานที่ออกกำลังกายได้ง่าย”
ดังนั้น คงไม่ใช่เรื่องยากที่เมืองไทยจะกลายเป็น “เมืองสุขภาวะ” เมืองหนึ่งของโลก เพียงแต่ถ้าทุกฝ่ายสร้าง “จุดเริ่ม” ด้วยการ “ออกกำลังกาย”
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์