
“เมาแล้วขับ” ความเจ็บช้ำ “ซ้ำซาก” จากช่องโหว่กฎหมาย
ที่มา: กิจกรรม “เปลี่ยนซ้ำ เป็นจบ ครบรอบ 3 ปี เมาแล้วขับกระทำผิดซ้ำ” ณ โรงแรมทีเค.พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น แบงคอก
กว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา การแก้ไขปัญหาเมาแล้วขับในประเทศไทยเริ่มต้นจากศูนย์ ในอดีต “เมาแล้วขับไม่ใช่ความผิดอาญา” ไม่มีเครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์ ไม่มีกฎหมาย จนมีคนบาดเจ็บและเสียชีวิตทุกวัน
โดยมีจุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2522 เมื่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอแก้ไข พ.ร.บ. จราจรทางบก กำหนดให้เมาแล้วขับเป็นความผิด และมีพัฒนาการต่อเนื่องจวบจนปี 2565 ที่กฎหมายฉบับใหม่มีผลบังคับใช้เพื่อเพิ่มโทษผู้กระทำผิดซ้ำภายใน 2 ปีให้หนักขึ้น โดยศาลต้องลงโทษทั้งจำและปรับเสมอ
แต่แม้กฎหมายจะพัฒนาขึ้น แต่จำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากเมาแล้วขับกลับไม่ลดลง สถิติที่น่าตกใจ คือในช่วงสงกรานต์ปี 2567 มีคดีเมาแล้วขับซ้ำ 96 คดี แต่เพียงหนึ่งปีถัดมา คดีเหล่านี้กลับพุ่งสูงเป็น 192 คดี หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า
ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่กฎหมายเพียงอย่างเดียว แต่ยังมี “ช่องโหว่” ที่ทำให้ความสูญเสียยังคงเกิดขึ้นซ้ำ ๆ
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) มูลนิธินโยบายถนนปลอดภัย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด มูลนิธิเมาไม่ขับ เครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต ภาคีเครือข่ายด้านการรณรงค์ป้องกันอุบัติเหตุเมาแล้วขับของไทย จัดกิจกรรม “เปลี่ยนซ้ำ เป็นจบ ครบรอบ 3 ปี เมาแล้วขับกระทำผิดซ้ำ” เพื่อสร้างมาตรการป้องปราม และนำความรู้ บทลงโทษ พร้อมหารือระหว่างภาคี เสริมมาตรการให้เข้มข้นอย่างต่อเนื่อง
ช่องโหว่ของระบบ
“กิจกรรม ‘ครบรอบ 3 ปี กฎหมายเมาแล้วขับกระทำผิดซ้ำ’ ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะเสริมประสิทธิภาพการทำงานของทุกภาคส่วน และช่วยให้ไทยก้าวสู่เป้าหมายการลดความสูญเสียบนท้องถนนอย่างเป็นรูปธรรม โดย สสส. มีแผนการจัดการความปลอดภัยทางถนนเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์หลัก โดยทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคมอย่างต่อเนื่อง
ผศ.ดร.กนกพร รัตนสุธีระกุล มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้นำเสนอผลการวิจัยที่ชี้ให้เห็นถึง “ช่องว่าง” สำคัญของระบบที่ทำให้การบังคับใช้กฎหมายไม่เกิดผลตามที่ตั้งใจว่า ส่วนหนึ่งเกิดจากการบังคับใช้ไม่ต่อเนื่อง จะพบว่าการตั้งจุดตรวจแอลกอฮอล์มักทำในช่วงเทศกาลเท่านั้น แต่ปัญหาเมาแล้วขับเกิดขึ้น 365 วันต่อปี ขณะที่กฎหมายปัจจุบันกำหนดโทษสำหรับผู้ปฏิเสธการเป่าแอลกอฮอล์ไม่หนักมากนัก ปรับเพียง 4,000 บาท จำคุก 2 เดือน รอลงอาญา ทำให้ผู้กระทำผิดบางรายเลือกที่จะ “ไม่เป่า” เพื่อประวิงเวลา เพราะแอลกอฮอล์สามารถลดลงได้ถึง 10-15 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ในหนึ่งชั่วโมง
นอกจากนี้ ผศ. ดร.กนกพร อธิบายว่า ฐานข้อมูลของผู้กระทำผิดซ้ำ (CRAM) ของตำรวจยังขาดการเชื่อมโยงกับระบบของอัยการ ศาล และกรมการขนส่ง ทำให้การตรวจสอบประวัติทำผิดซ้ำไม่สามารถทำได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
จากการศึกษามาตรการบังคับใช้กฎหมายเมาแล้วขับ ในปัจจุบัน แม้จะมีการปรับตัวต่อสถานการณ์การดื่มแล้วขับที่เปลี่ยนไปตลอดเวลา จะเห็นจากผลการดำเนินคดีที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี แต่หากเปรียบเทียบกับมาตรการของต่างประเทศ ยังต้องเพิ่มศักยภาพการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจในหลายส่วน โดยเฉพาะอุปกรณ์เครื่องมือ งบประมาณ และ กำลังพล อีกส่วนสำคัญคือการปรับกระบวนเชื่อมโยงการทำงานของทุกหน่วยงาน ต้องสอดคล้องเป็นแนวปฏิบัติเดียวกัน เพื่อให้ผู้กระทำผิดซ้ำ ถูกตรวจสอบและลงโทษทุกราย
โดยในมุมมองของ ดร.น้ำแท้ มีบุญสล้าง เลขานุการรองอัยการสูงสุด ได้เสนอให้มีการแก้ไขเพื่ออุดช่องโหว่นี้ เช่น การออกหนังสือเวียนให้สำนวนคดีต้องมีประวัติ CRAM หรือการใช้กล้องบันทึกพฤติการณ์การปฏิเสธเป่า เพื่อให้ศาลสามารถลงโทษสูงสุดได้
“สำนักงานอัยการ พร้อมทำงานสนับสนุนอย่างเต็มที่ ในส่วนของกระบวนการในการพิจารณาคดีกระทำผิดซ้ำ ต้องหารือร่วมกันเพื่อกำหนดกระบวนการที่ชัดเจน และไม่ปล่อยให้คนที่กระทำผิดซ้ำ หลุดออกจากการพิจารณาคดี ที่สำคัญต้องเร่งดำเนินการให้มีผลชัดเจนตลอดทั้งปี ปฏิบัติเป็นแนวเดียวกันทั้งประเทศ”
เหยื่อ “ดื่มแล้วขับ” ความเจ็บช้ำที่ไม่เจือจาง
เครือมาศ ศรีจันทร์ ได้เล่าถึงโศกนาฏกรรมของ “น้องอิงฟ้า” เหตุการณ์ที่คนเมาแล้วขับ ด้วยปริมาณแอลกอฮอล์ 258 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ พยายามหลีกเลี่ยงการเป่า สุดท้ายได้รับโทษจำคุกเพียง 1 ปี
“ครอบครัวไม่ได้รับความเป็นธรรมและเยียวยาเพียงพอ ประกันปฏิเสธจ่ายเนื่องจากคนขับเมา”
เรื่องราวของน้องอิงฟ้า กลายเป็นบาดแผลที่ยังคงไม่จางหายในหัวใจของครอบครัว และเป็นหนึ่งในเรื่องราวที่สะท้อนถึงความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นในสังคม
ทั้งสะท้อนให้เห็นว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่บทลงโทษเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงกระบวนการยุติธรรมและการเยียวยาที่ยังคงมีช่องว่าง
ปัญหา “เมาแล้วขับซ้ำซาก” จึงเป็นอีกประเด็นที่จำเป็นต้องหาแนวทางแก้ไข เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน
พ.ต.อ.พชร์ ฐาปนดุลย์ ผู้กำกับการกลุ่มงานจราจร สำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กล่าวว่า ตร. เพิ่มความเข้มข้นในการตรวจสอบและดำเนินคดีผู้ที่เมาแล้วขับกระทำผิดซ้ำอย่างต่อเนื่อง มีการจัดทำระบบฐานข้อมูล จากสถิติ พบว่า ช่วงสงกรานต์ปี 2568 มีผู้กระทำผิดเมาแล้วขับผิดซ้ำเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าจากปีก่อน
อีกทั้งยังมีคำสั่ง หากต้องส่งฟ้องคดีดื่มแล้วขับ ต้องแนบผล Crimes และ ตรวจสอบประวัติผิดซ้ำทุกคดี ก่อนส่งให้อัยการ พิจารณา และในอนาคต จะเพิ่มความเข้มงวดตลอดทั้งปี ไม่ใช่แค่เฉพาะเทศกาล ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า “ดื่มแล้วขับ” เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ ข้อมูลจาก กองป้องกันการบาดเจ็บ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ปี 2562–2566 พบว่า มีผู้เสียชีวิตหรือ บาดเจ็บจากดื่มแล้วขับ 284,253 ราย เฉลี่ยปีละ 56,850 ราย หรือคิดเป็นชั่วโมงละ 7 ราย สร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจกว่า 74,733 ล้านบาท โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปีใหม่และสงกรานต์ที่สถิติสูงขึ้นมาก และจากนโยบายแอลกอฮอล์ที่เปิดกว้าง อาจทำให้แนวโน้มพฤติกรรมการดื่มของคนไทยเพิ่มขึ้น จำเป็นต้องเร่งมาตรการป้องปราม ลงโทษผู้กระทำความผิดโดยเฉพาะกระทำผิดซ้ำเมาแล้วขับ
“สสส. เป็นอีกหนึ่งองค์กรที่ทํางานเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง ในการสนับสนุนทุกภาคีเครือข่ายให้สามารถทําตามมาตรการที่เราวางแผนร่วมกันไว้ โดยจะเน้นไปที่การลดพฤติกรรมเสี่ยง การสร้างสภาพแวดล้อมหรือสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อความปลอดภัยในการใช้ถนน ที่สําคัญ คือเน้นการพัฒนาการทํางานในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง”
สำหรับในทศวรรษที่ 3 ของ สสส. ปี 2565–2574 ได้กำหนดจุดเน้นสำคัญ 1. ลดพฤติกรรมเสี่ยง ส่งเสริมพฤติกรรมขับขี่ปลอดภัย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้รถจักรยานยนต์ เด็กและเยาวชน และวัยแรงงาน 2. สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อความปลอดภัย 3. มุ่งเน้นการทำงานในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง โดยประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ครึ่งทางของ แผนแม่บทความปลอดภัยทางถนน ฉบับที่ 5 ซึ่งตั้งเป้าลดการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนให้ไม่เกิน 12 ต่อแสนประชากร ภายในปี 2570 กิจกรรมในครั้งนี้เป็นหนึ่งในการแก้ไขและลดช่องว่างในการจัดการปัญหาเชิงระบบโครงสร้างและระดับนโยบาย
“โดย สสส. จะเป็นกำลังหลักในการสนับสนุนการทำงานอย่างต่อเนื่องและขับเคลื่อนร่วมกับภาคีเครือข่ายทางวิชากรทั้งในส่วนกลางและระดับพื้นที่ เพื่อให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายในการลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนจาก ‘ดื่มแล้วขับ’ และสร้างความปลอดภัยในการเดินทางให้กับสังคมไทยต่อไป” ดร.นพ.ไพโรจน์ กล่าว
ปรับกฎหมายที่ตามไม่ทัน
ขณะเดียวกัน ในการประชุมครั้งนี้ ยังมีการเสนอมาตรการเชิงกฎหมาย ให้เพิ่มโทษสำหรับผู้กระทำผิดซ้ำให้หนักขึ้น โดยมาตรการทางเลือก เสนอให้ใช้มาตรการทางเลือกอื่น ๆ เช่น การบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม (Community Service) หรือการติดตั้งอุปกรณ์ Ignition Interlock Device ในรถยนต์ เพื่อบังคับให้เป่าแอลกอฮอล์ก่อนสตาร์ทรถ
ณัฐพล สิทธิพราหมณ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ กล่าวเสริมว่า นอกเหนือจากการเพิ่มโทษผู้ที่เมาแล้วขับกระทำผิดซ้ำ การแก้ไขอุบัติเหตุเมาแล้วขับ จำเป็นต้องมีการกำหนดเป็นแผนปฏิบัติการ มีการกำหนดตัวชี้วัด แต่ละหน่วยงานที่สอดคล้องกับ แผนแม่บทความปลอดภัยทางถนน ที่ กำหนดให้ต้องลดผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากเมาแล้วขับ 10% ต่อปี จนถึงปี 2570 จึงเสนอให้มีการหารือรวมกันทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำกับติดตามอย่างเป็นระบบ