เพิ่มการทำ “จิตบำบัด” ลดป่วยซ้ำได้ดีมาก
ที่มา: เฟสบุ๊ค กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข
แฟ้มภาพ
กรมสุขภาพจิต เผยในปี 2560 ผู้ป่วยจิตเวชเข้าถึงการรักษา 2.6 ล้านคน เพิ่มจากปี 2558 ถึง 4 เท่าตัว ในปีนี้เพิ่มประสิทธิภาพการรักษา โดยนำการทำจิตบำบัด ปรับความคิดที่บิดเบือนหรือคิดลบที่ทำให้ผู้ป่วย มีพฤติกรรมอารมณ์ผิดปกติ ให้กลับมาอยู่บนความเป็นจริง ใช้ควบคู่กับการรักษาด้วยยา ผลวิจัยพบว่าให้ผลดี กว่าการรักษาด้วยยาอย่างเดียว ผู้ป่วยมีอัตราป่วยซ้ำเพียงร้อยละ 28 เริ่มใน 7 จังหวัดในเขตสุขภาพที่ 8 ซึ่งคาดว่า มีผู้ป่วยจิตเวชเกือบ 2 แสนคน
นาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต ให้สัมภาษณ์ภายหลังมอบประกาศนียบัตรให้แก่นักจิตวิทยา นักจิตวิทยาคลินิกที่ปฏิบัติงานในเขตสุขภาพที่ 8 ที่ผ่านการอบรมหลักสูตรการทำจิตบำบัดผู้ป่วยจิตเวชแบบปรับเปลี่ยนความคิดจำนวน 32 คน ที่โรงแรมใบบุญแกรนด์ อ.เมือง จ.เลย เมื่อบ่ายวันนี้ (22 กุมภาพันธ์ 2561) ว่า สถานการณ์ขณะนี้เราพบว่ามีจำนวนผู้ป่วยจิตเวชและผู้มีปัญหาสุขภาพจิตเพิ่มมากขึ้น ปรากฎออกมาเป็นปัญหาสังคม เช่น ความรุนแรงต่อเด็กสตรี ครอบครัว คดีอาชญากรรม เป็นต้น ส่วนใหญ่มาจากพื้นฐานครอบครัว ปัญหาเศรษฐกิจ การใช้สารเสพติดและพันธุกรรม ในปี 2560 มีผู้ป่วยจิตเวชขึ้นทะเบียนรักษา 2.6 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 37 ของผู้ป่วยจิตเวชและผู้มีปัญหาสุขภาพจิต ซึ่งผลสำรวจในปี 2556 คาดว่าจะมี 7 ล้านกว่าคนทั่วประเทศ ซึ่งกรมฯได้เร่งเพิ่มการเข้าถึงยาของผู้ป่วย ให้อสม.และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลออกเยี่ยมบ้านดูแลผู้ป่วยจิตเวชร่วมกับครอบครัว พร้อมทั้งสร้างความเข้าใจผู้ป่วยโรคจิตเวช ซึ่งจัดเป็นโรคเรื้อรังเหมือนโรคทางกาย รักษาหายขาดหรือควบคุมอาการให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ อยู่ร่วมกับครอบครัว ชุมชนได้เหมือนคนทั่วไป ส่งผลให้แนวโน้มการเข้าถึงของผู้ป่วยดีขึ้นเรื่อยๆ โดยรวมจำนวนผู้ป่วยในปี 2560 เพิ่มขึ้นจากปี 2558 ถึง 4 เท่าตัว
อย่างไรก็ตาม การรักษาผู้ป่วยจิตเวช เช่นโรคจิตเภท ( Schizophrenia) โรคซึมเศร้า (depression) โรควิตกกังวล ( Anxiety) หรือโรคจิตเวชจากการเสพสารเสพติดก็ตาม ไม่ได้หายจากยาอย่างเดียว บางคนต้องใช้การปรับพฤติกรรม ปรับความคิด เนื่องจากผู้ป่วยจิตเวชส่วนใหญ่ จะมีความคิดที่บิดเบือนบางประการ เกิดอารมณ์และพฤติกรรมที่เป็นลบเช่นผู้ป่วยซึมเศร้ามักคิดว่า ตัวเองถูกตัดออกจากโลกภายนอก ถูกแยกออกจากครอบครัว มองทุกอย่างในแง่ลบ ไม่สามารถควบคุมการกระทำให้เหมาะสมกับสถานการณ์ จึงต้องใช้กระบวนการทางจิตวิทยา
ปรับเปลี่ยนความคิดให้กลับคืนมาสู่สภาพความเป็นจริง ในปีนี้กรมฯ มีนโยบายนำวิธีการทำจิตบำบัด แบบปรับเปลี่ยนความคิด หรือที่เรียกว่า ซีบีที (Cognitive Behavior Therapy: CBT) มาใช้ดูแลผู้ป่วยควบคู่กับการใช้ยา เพิ่มประสิทธิภาพการรักษา จะทำให้ผู้ป่วยเข้าใจโรคหรือปัญหาที่เผชิญอยู่และใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข ซึ่งผลวิจัยพบว่าเมื่อใช้จิตบำบัดควบคู่กับยา จะสามารถป้องกันการกลับมาป่วยซ้ำได้ผลดี เช่นในผู้ป่วยโรคซึมเศร้า จะมีอัตราการป่วยซ้ำเพียงร้อยละ 28 ขณะที่การรักษาด้วยยาอย่างเดียวจะเป็นซ้ำร้อยละ 60 โดยเริ่มที่เขตสุขภาพที่ 8 เนื่องจากมีความพร้อม มีเครือข่ายนักจิตวิทยา 32 คน ก่อนขยายผลทั่วประเทศ
ทางด้านนางสาวจุฑามาศ วรรณศิลป์ ผู้อำนวยการศูนย์สุขภาพจิตที่ 8 กล่าวว่าในเขตสุขภาพที่ 8 ซึ่งมี 7 จังหวัด ได้แก่อุดรธานี เลย นครพนม สกลนคร บึงกาฬ หนองคายและหนองบัวลำภู คาดว่าจะมีผู้ป่วยจิตเวชประมาณ 2 แสนคน เช่นผู้ป่วยจิตเภท คาดว่ามีประมาณ 35,000 คน เข้าถึงบริการแล้วร้อยละ 65 มีผู้ป่วยโรคซึมเศร้าประมาณ 72,000 คน เข้าถึงบริการร้อยละ 60 มีผู้ติดเหล้าประมาณ 76,000 คน เข้าถึงบริการร้อยละ17 มีผู้พยายามฆ่าตัวตาย 395 คน โดยในเขตสุขภาพที่ 8 มีโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลชุมชนรวม 88 แห่ง มีนักจิตวิทยาให้บริการ 22 แห่ง ขณะนี้ศูนย์สุขภาพจิตได้พัฒนาเป็นเครือข่ายวิชาชีพนักจิตวิทยา มีบทบาทคือให้การบำบัดผู้ป่วยด้านจิตวิทยาและฟื้นฟูสภาพจิตใจ ตรวจวินิจฉัยทางจิตวิทยา ส่งเสริมสุขภาพจิตชุมชน ทำงานเชื่อมโยงกับนักจิตวิทยาสังกัดอื่ๆ ที่อยู่ในพื้นที่เดียวกัน เช่น ในโรงเรียน สถานพินิจ เรือนจำ เป็นต้น ให้การดูแลแก้ไขปัญหาในพื้นที่ร่วมกัน
สำหรับการอบรมหลักสูตรจิตบำบัดแบบปรับเปลี่ยนความคิดครั้งนี้ เป็นหลักสูตรระยะสั้น 5 วัน เน้นฝึกปฏิบัติจริงมีมาตรฐานเดียวกัน โดยนักจิตวิทยาจะให้การดูแลผู้ป่วยจิตเวชหลังจากที่พบแพทย์แล้ว เพื่อปรับความคิด ช่วยให้ผู้ป่วยดูแลตัวเองได้ดีขึ้น และใช้ในการให้บริการปรึกษาแก่ประชาชนในเรื่องของการใช้ชีวิตประจำวันทั่วๆ ไปด้วย โดยจะติดตามประเมินผลหลังจากนี้ 2 เดือน