เผย! “เคาช์โปเตโต้” คุกคามเด็กไทย

แพทย์หวั่นโรคร้ายรุมเร้า แนะออกกำลังกายวันละ 8 ชม.

เผย! “เคาช์โปเตโต้” คุกคามเด็กไทย 

          แพทย์ชี้สถานการณ์สุขภาพเด็กไทยใกล้วิกฤติ พบพฤติกรรมชอบนั่งๆ นอนๆ ดูทีวี วีดีโอ เล่นเกมคอมพิวเตอร์ “เคาช์โปเตโต้” คุกคามหนัก ทำเด็กไทยเฉื่อย และเป็นโรคอ้วนมากถึงร้อยละ 8 จิตแพทย์หวั่นเพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคร้ายในอนาคต แนะออกกำลังกายวันละ 1 ชั่วโมง

 

          พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ ผู้อำนวยการศูนย์สุขภาพจิตที่ 13 กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า เด็กไทยมีแนวโน้มมากขึ้นที่จะเป็น เคาช์โปเตโต้” (couch potato) หรือคนที่เอาแต่นั่งๆ นอนๆ ดูทีวี วิดีโอ หรือเล่นเกมคอมพิวเตอร์ ไม่เคลื่อนไหวทำกิจกรรม ทำให้เป็นโรคอ้วน การศึกษาล่าสุดพบว่า ในจำนวนเด็กไทยอายุ 2-18 ปี ทั่วประเทศ จำนวน 17.6 ล้านคน มีเด็กที่เป็นโรคอ้วนมากถึงเกือบ 1.5 ล้านคน กลุ่มวัยรุ่นเป็นโรคอ้วนมากที่สุด เนื่องจากขาดการออกกำลังกาย จึงทำให้มีความเสี่ยงต่อโรคร้ายต่างๆ มากมายในอนาคต เช่น ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดหัวใจ เบาหวาน รวมทั้งมีโอกาสที่จะมีปัญหาด้านบุคลิกภาพ การสื่อสาร การเข้าสังคม และทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่นด้วย

 

          สาเหตุของพฤติกรรม เคาช์โปเตโต้มาจากการที่เด็กดูโทรทัศน์ เล่นเกมวิดีโอหรือคอมพิวเตอร์มากเกินไป พ่อแม่จำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในเมืองใหญ่หลายคนคิดว่าการดูโทรทัศน์และเล่นคอมพิวเตอร์เป็นการให้ความรู้และปลอดภัย แต่จริงๆ แล้วไม่ได้พัฒนาทางกายตามที่ควรเป็น แขนขาไม่ได้ใช้งาน ขาดโอกาสที่จะได้ฝึกการโต้ตอบ หรือมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น ทำให้พูดช้า เลียนแบบพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม สมาธิสั้น เป็นการบ่มเพาะพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ดี ทำให้เกิดโรคต่างๆ มากมาย

 

          พญ.อัมพรกล่าวว่า ผลการสำรวจพบว่าเด็กไทยร้อยละ 67.8 เล่นอินเทอร์เน็ตเป็นประจำ เฉลี่ยครั้งละ 2.42 ชั่วโมง ดูโทรทัศน์ 1-7 ชั่วโมงต่อวัน  และมีเด็กจำนวนมากที่ดูโทรทัศน์หรือเล่นเกมไปรับประทานอาหารไปจนอ้วน หรือบางคนก็ไม่รับประทานอาหารเลยจนขาดสารอาหาร บางคนอารมณ์ฉุนเฉียว ก้าวร้าว เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่างๆ ที่เกิดจากภาวะเคาช์โปเตโต้ ควรมีการเคลื่อนไหวร่างกาย ทำกิจกรรมต่างๆ มากขึ้น เด็กโตไม่ควรใช้เวลาเกิน 1 ชั่วโมง เล่นเกมหรือดูทีวี เด็กเล็กไม่เกิน 30 นาที สถาบันการศึกษา ครอบครัว ภาครัฐและเอกชน จำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อป้องกันพฤติกรรมดังกล่าว

 

          โรงเรียนควรเพิ่มเวลาออกกำลังกายหรือเรียนพลศึกษาในโรงเรียน การจัดให้มีสนามเด็กเล่น ลานกิจกรรมและสันทนาการในชุมชนอย่างทั่วถึง การใช้เวลากับครอบครัวอย่างมีคุณภาพ เช่น พ่อแม่ชวนกันทำงานบ้าน ออกไปวิ่งเล่น ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ หรือทำกิจกรรมอื่นๆ ร่วมกัน เพื่อสุขภาพดีอย่างมีคุณภาพ

 

          ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกแนะนำว่า เด็กในวัยเรียนควรออกกำลังกายในระดับปานกลาง เช่น เดินเร็ว ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ วันละ 60 นาที เพื่อให้มีสุขภาพดี และผู้ใหญ่ทั่วไปวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน เพื่อให้โครงสร้างและกล้ามเนื้อ ระบบประสาทอัตโนมัติ ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบหายใจ ระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายแข็งแรงและทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายได้เป็นอย่างดี

 

 

 

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

 

 

update 11-06-51

 

 

 

 

 

Shares:
QR Code :
QR Code