เผยเคล็ดลับนักอ่าน เริ่มต้นง่ายๆที่พ่อแม่
แม้สถิติการอ่านของคนไทยจะดีขึ้น จากการรวบรวมข้อมูลโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ในปีล่าสุดเมื่อ 2556 พบว่าคนไทยอ่านหนึ่งเฉลี่ยต่อวันมากขึ้นคนละ 37 นาทีต่อวัน โดยเพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 10
แต่เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าคนในประเทศไทยนั้นอ่านหนังสือน้อยอยู่มาก ไม่ต้องไปเปรียบกับประเทศมหาอำนาจ เพราะแค่วัดกันในกลุ่มประเทศอาเซียน เช่น ประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ ก็น้อยกว่ามาก ดังนั้นหากเรายังปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไป จะส่งผลในการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของประเทศ ในการแข่งขันในระดับสากลและนานาชาติต่อไป หรือเรียกง่ายๆ ว่าฉลาดไม่ทันคนอื่นๆ นั่นเอง
เมื่อเราทราบปัญหาดังกล่าวแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคนจะต้องหาวิธีการอย่างไรจะทำให้คนไทยอ่านหนังสือเพิ่มมากขึ้น ซึ่งทุกฝ่ายก็เห็นควรที่จำเป็นจะต้องปลูกฝังนิสัยการอ่านของประชากรไทยตั้งแต่วัยเยาว์ เพราะหากสามารถทำได้ก็เปรียบเป็นการวางรากฐานให้คนในประเทศรักการอ่านทุกช่วงวัยไปโดยอัตโนมัติ
นางสุดใจ พรหมเกิด ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้ยอมรับว่า ปัจจัยที่จะทำให้เด็กรักการอ่านหนังสือตั้งแต่เล็กๆ ก็คือพ่อแม่นั่นเอง เพราะหากทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดี พร้อมกับส่งเสริมให้พวกเขาอ่านหนังสืออย่างต่อเนื่องๆ ก็จะสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ลูกๆ ได้ ถือเป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่งที่จะทำให้พวกเขาเป็นหนอนหนังสือในอนาคต
แต่หากผู้ปกครองไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร มีวิธีการแนะนำง่ายๆ ที่จะส่งเสริมให้เจ้าตัวเล็กเป็นนักอ่านได้ และมีความสุขกับการอ่านหนังสือ โดยไม่ต้องพึ่งเทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นเครื่องมือหลอกล่อมากนัก
ประการแรก พ่อแม่ต้องเป็นแบบอย่างให้ลูกเห็นสม่ำเสมอ หากคุณเองก็มีนิสัยรักการอ่าน หรือคุณอ่านหนังสือทุกครั้งที่มีเวลาและมีโอกาส เด็กๆ ก็จะเลียนแบบนิสัยรักการอ่านของคุณไปในตัว
เมื่อพวกเขาเริ่มจับหนังสือแล้ว ก็หาวิธีให้ลูกได้ใช้เวลาอยู่กับหนังสือตั้งแต่เขาอายุยังน้อย จากนั้นก็ค่อยๆ เริ่มปลูกฝังการอ่านให้กับลูกโดยที่ไม่มีสิ่งรบกวนอื่น เช่น ทีวี โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ ให้ลูกคุณได้เลือกหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน ก็เป็นวิธีการหนึ่งให้เขาผูกพันหนังสือแต่เล็ก และเขาจะสร้างนิสัยรักการอ่านขึ้นมาเอง
หาหนังสือแนวที่ลูกชอบมาให้เขาให้มากเท่าที่จะทำได้ เพราะการได้อ่านหนังสือแนวที่ตนชอบจะช่วยจุดประกายนิสัยรักการอ่านได้ หากเป็นไปได้ก็ให้อ่านอย่างอื่น เช่น สอนให้เขาอ่านฉลากข้างกล่อง หรือป้ายโฆษณา ควบคู่ไปด้วย
ถัดมา ทำให้การอ่านเป็นเรื่องสนุก พ่อแม่ส่วนใหญ่จะอ่านหนังสือให้ลูกฟังตอนที่ลูกยังเล็กอยู่ แต่พอลูกโตขึ้นพวกเขาก็อ่านน้อยลง มีงานวิจัยพบว่า เด็กที่พ่อแม่อ่านหนังสือให้ฟังตั้งแต่ยังเด็ก เมื่อเขาโตขึ้นและพ่อแม่เลิกอ่านหนังสือให้ฟัง พวกเขาจะคิดถึงเวลาที่พ่อหรือแม่อ่านหนังสือให้ฟัง ดังนั้น แม้ลูกคุณจะโตแล้วก็สามารถอ่านหนังสือให้ลูกฟังได้ โดยอาจสลับให้แต่ละคนในครอบครัวเป็นคนอ่านให้สมาชิกคนอื่นๆ ฟัง
พยายามส่งเสริมให้ลูกรักการอ่านให้มาก ร่วมพูดคุยเกี่ยวกับหนังสือที่เขาเพิ่งอ่านไป การทำเช่นนี้จะช่วยสร้างนิสัยรักการอ่านได้ การได้พูดคุยกับลูกเกี่ยวกับหนังสือที่เขาอ่านอย่างเป็นกันเอง แสดงถึงความเอาใจใส่และความสนใจที่คุณมีต่อหนังสือของเขาด้วย
หากลองวิธีอื่นๆ ที่กล่าวมาข้างต้นแล้วลูกยังคงไม่ชอบอ่านหนังสือ การใช้สิ่งล่อใจลูกให้อ่านหนังสือก็ไม่ผิดอะไร พ่อแม่บางคนใช้วิธีนี้เพื่อจูงใจให้ลูกอ่านหนังสือ และพวกเขาก็รักการอ่านในที่สุด และไม่เรียกร้องสิ่งตอบแทนด้วย
การมีสิ่งกระตุ้นเป็นอีกวิธีที่ใช้ได้ผล ไม่ว่าเด็กเล็กหรือเด็กโตก็ต้องการการยอมรับในความพยายามอ่านหนังสือของพวกเขาทั้งนั้น ลองให้ดาวหรืออะไรก็ได้ที่คุณคิดว่าจะทำให้ลูกรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้รางวัล ซึ่งแนวคิดนี้เป็นแนวคิดที่ดีพอสมควร รวมทั้งพาลูกไปห้องสมุดหรือร้านขายหนังสือ ไปในที่ที่มีหนังสือจำนวนมาก เพื่อให้ลูกได้สนุกกับการสำรวจหนังสือต่างๆ มากมาย
ประการสุดท้าย ให้หนังสือเป็นของขวัญกับลูก การที่พ่อแม่ให้หนังสือกับลูกจะเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นมากสำหรับเขา โดยเฉพาะหนังสือที่เขาอยากได้ การทำเช่นนี้จะช่วยสร้างนิสัยรักการอ่านให้ลูกได้ และจะทำให้ทั้งพ่อหรือแม่มีความสุขที่เห็นเขาได้ไปนั่งในมุมโปรดเพื่ออ่านหนังสือที่เขาชื่นชอบ
นี่คือวิธีง่ายๆ ที่จะส่งเสริมให้ลูกๆ เป็นนักอ่านได้ตลอดชีวิต ส่วนจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของพ่อแม่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด
นาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เปิดเผยว่า จากผลสำรวจพฤติกรรมสุขภาพตามสุขบัญญัติแห่งชาติของนักเรียนอายุ 9-12 ปีทั่วประเทศ ครั้งล่าสุดในปี 2557 ใน 4 ด้าน ได้แก่ ด้านโภชนาการ การออกกำลังกาย อารมณ์ สังคม และครอบครัว พบว่าในภาพรวมอยู่ในระดับพอใช้ 77% อยู่ในระดับปรับปรุง 18% โดยอยู่ในระดับดีเพียง 6%
จากการสำรวจครั้งนี้มีข้อสังเกตที่น่าสนใจ 2 ประการ ประการแรกคือด้านโภชนาการ ทุกภาคยังอยู่ในระดับพอใช้ และมีพฤติกรรมเสี่ยง คือเด็กยังดื่มน้ำอัดลมและขนมหวาน เช่น ชาเย็น น้ำแดง โกโก้ รับประทานอาหารจานด่วน เช่น แฮมเบอร์เกอร์ พิซซ่า ไส้กรอก ประการที่สองคือด้านอารมณ์ พบว่าเมื่อนักเรียนมีความทุกข์จะระบายอารมณ์ด้วยการกิน ซึ่งจะนำไปสู่ภาวะโภชนาการเกิน และโรคอ้วนตามมาภายหลัง
อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพกล่าวต่อว่า ส่วนในด้านของสุขภาพอนามัย พบว่าเด็กนักเรียนในภาคกลาง ภาคใต้ และกรุงเทพฯ มีพฤติกรรมอยู่ในระดับดีมากที่สุด เช่น การดูแลความสะอาดร่างกาย การแปรงฟัน การล้างมือก่อนและหลังรับประทานอาหารทุกครั้ง ส่วนภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ในระดับพอใช้มากที่สุด.
ที่มา: เว็บไซต์ไทยโพสต์
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต