เผยสถานการณ์โรคปอดยังน่าห่วง
ที่มา : เว็บไซต์แนวหน้าออนไลน์
แฟ้มภาพ
“วันโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังโลก หรือ World COPD Day” (COPD :Chronic Obstructive Pulmonary Disease) ปีนี้ตรงกับวันพุธที่ 20 พฤศจิกายนที่ผ่านมา จุดประสงค์เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงอันตรายของโรคนี้และให้ความสำคัญกับการตรวจสมรรถภาพการทำงานปอดมาก ซึ่งปัจจุบันโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับที่ 6 ของประเทศไทย
รองศาสตราจารย์แพทย์หญิงนฤชา จิรกาลวสาน ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายวิรัชกิจ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคปอด โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์สภากาชาดไทย กล่าวว่า “จากสถิติในปี 2561 มีคนไทยป่วยด้วยโรคถุงลมโป่งพองกว่า 3 ล้านคน เฉลี่ยคือนาทีละ 6 คนโดยมีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพราะอาการของโรคมากกว่า 1 ล้านคน พบเฉลี่ยในกลุ่มคนอายุ 40 ปีขึ้นไป ที่มีพฤติกรรมการสูบบุรี่ หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีมลพิษทางอากาศสูง นอกจากนี้ยังพบผู้ป่วยเป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังอยู่ที่ 5%และพบสถิติสูงถึง 7% ในกลุ่มคนที่อายุเกิน 40 ปีขึ้นไป”
จุดเริ่มต้นของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังเกิดจากเซลล์อักเสบที่เพิ่มขึ้นในหลอดลมและปอด ซึ่งสาเหตุอันดับหนึ่งของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังเกิดจากการสูบบุหรี่ ทั้งการเป็นผู้สูบเองและการรับควันบุหรี่มือสอง การรับมลพิษทางอากาศ อาทิ ฝุ่น PM 2.5 สะสม หรือควันพิษจากท่อไอเสียรถยนต์ ฯลฯ และอีกหนึ่งสาเหตุที่คนส่วนใหญ่มักคิดไม่ถึง คือ การสูดดมควันจากการทำอาหาร โดยเฉพาะเตาถ่านก็สามารถกระตุ้นให้เกิดโรคปอดได้เช่นกัน
“อาการของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังแบ่งออกได้ 2 แบบคือ แบบหลอดลมอักเสบเรื้อรังผู้ป่วยจะมีอาการไอติดต่อกัน 3 เดือนต่อเนื่องนานกว่า 2 ปี รวมถึงเหนื่อยง่ายกว่าคนปกติ และแบบที่สอง คือแบบถุงลมโป่งพอง อาการเหนื่อยง่ายจะเด่นชัดกว่าการไอ ในบางรายแค่นั่งเฉยๆ ก็เหนื่อยได้ โดยอันตรายของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังคือ ปอดจะไม่สามารถรักษาให้กลับมาอยู่ในสภาพปกติเหมือนเดิมได้ การรักษาจึงเป็นแบบประคับประคองตามอาการ ซึ่งหากผู้ป่วยเข้ารับการตรวจสมรรถภาพปอดและตรวจพบเร็วก็จะช่วยลดความรุนแรงของโรคลงได้ แต่หากไม่เข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ความรุนแรงของโรคมีโอกาสพัฒนา รวมทั้งโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังเองนั้น ก็เพิ่มความเสี่ยงการเป็นมะเร็งปอดและโรคหัวใจได้ในอนาคต” รศ.พญ.นฤชา กล่าว
สำหรับผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังนั้น ทางการแพทย์สามารถแบ่งตามผลการตรวจสมรรถภาพปอดและลักษณะอาการ อันได้แก่ ค่าสมรรถภาพปอด จำเป็นในการวินิจฉัยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง และสามารถบอกระดับความรุนแรงของการอุดกั้นได้ อาการของโรค แบบหลอดลมอักเสบเรื้อรัง หรือ แบบถุงลมโป่งพอง แต่โดยทั่วไปผู้ป่วยอาจมีอาการทั้งสองแบบร่วมกัน จำนวนครั้งที่อาการกำเริบต่อปี ยิ่งกำเริบมากและถี่จะมีโอกาสทำให้สมรรถภาพปอดลดลงเพิ่มขึ้น
การจำแนกประเภทของผู้ป่วยนั้นเพื่อเป็นแนวทางในการรักษาที่เหมาะสมตามอาการและความรุนแรงของโรค รศ. พญ.นฤชา ได้อธิบายถึงการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังว่า “แนวทางการรักษาผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังจะใช้วิธีการประคับประคองตามอาการ โดยอันดับแรก แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ ทั้งการสูบบุหรี่ สวมหน้ากากอนามัยหากต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีมลพิษสูง ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ทุกปี และจะมีการให้ยาสูดช่วยขยายหลอดลม ในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงแพทย์อาจจะใช้ยาสูดชนิดสเตียรอยด์ การฝึกบริหารการหายใจและการผ่าตัดปอด โดยตัดส่วนที่มีถุงลมโป่งพองในบางรายที่มีข้อบ่งชี้ เป็นต้น นอกจากนี้ในผู้ป่วยบางรายอาจจำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจขณะที่อยู่ที่บ้าน ทั้งนี้ผลการรักษาก็ขึ้นอยู่กับการให้ความร่วมมือของผู้ป่วยด้วย”
จากสถิติพบว่าผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่มีอาการกำเริบและเสียชีวิต ส่วนหนึ่งเกิดจากการคั่งของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเครื่องช่วยหายใจสามารถช่วยเพิ่มการหายใจ ช่วยกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนให้แก่ร่างกาย จึงช่วยลดอัตราการเสียชีวิตลงได้นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่า ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์คั่งอยู่เกิน 53 มิลลิเมตรปรอท หลังจากที่มานอนโรงพยาบาลด้วยอาการปอดอุดกั้นกำเริบ 2-4 อาทิตย์ แต่แพทย์อนุญาตให้ไปพักรักษาตัวที่บ้าน หากใช้เครื่องช่วยหายใจในขณะนอนหลับ ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีอัตราการเสียชีวิตน้อยกว่าผู้ที่ไม่ใช้เครื่องช่วยหายใจ