เผยติดยาบ้าเสี่ยง“ป่วยทางจิต”สูงกว่าคนทั่วไป 11 เท่า

ที่มา: กรมสุขภาพจิต


เผยติดยาบ้าเสี่ยง“ป่วยทางจิต”สูงกว่าคนทั่วไป 11 เท่า thaihealth


แฟ้มภาพ


กรมสุขภาพจิต เผยติดยาบ้าเสี่ยง“ป่วยทางจิต”สูงกว่าคนทั่วไป 11 เท่า เร่งวิจัย“สติบำบัด”ป้องกันเสพยาซ้ำ พบได้ผลดี


กรมสุขภาพจิต เผยภัยจากการเสพยาเสพติดโดยเฉพาะยาบ้า ทำให้เด็กวัยรุ่นขาดอาหาร พัฒนาการสมองล่าช้า ติดเชื้อง่าย ส่วนผู้ที่ติดยาอย่างงอมแงมเสี่ยงป่วยทางจิตสูงกว่าคนทั่วไป 11 เท่าตัว ย้ำเตือนคนเสพให้เลิกเสพโดยเร็ว  พร้อมทั้งเร่งพัฒนาวิธีการป้องกันผู้ป่วยเสพยาซ้ำหลังบำบัดแล้ว โดยใช้สติบำบัดเพื่อสร้างความเข้มแข็งจิตใจผู้ป่วย ผลการวิจัยที่รพ.จิตเวชนครพนมฯ เบื้องต้นพบได้ผลดีน่าพอใจ ผู้ป่วยหยุดเสพได้ 100 เปอร์เซนต์ในระยะ 3 เดือนแรก และยังได้ผลลัพธ์ที่ดีในระยะ 6 เดือน เตรียมขยายผลศึกษาเปรียบเทียบกับวิธีอื่นต่อไป


นาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง  ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต  ให้สัมภาษณ์ว่า วันที่ 26 มิถุนายนทุกปี เป็นวันต่อต้านยาเสพติดโลกข้อมูลองค์การด้านยาเสพติดนานาชาติ ระบุว่าในปี 2560 ทั่วโลกมีผู้เสพยาเสพติดประมาณ  250 ล้านคน โดยมีผู้ติดยาประมาณ 29.5 ล้านคน หรือร้อยละ 0.6 ของประชากรผู้ใหญ่กำลังมีปัญหาสุขภาพและมีความทุกข์ทรมานสืบเนื่องมาจากติดยา  ในส่วนของไทยผลสำรวจในกลุ่มประชาชนอายุ 12-65 ปี ในปี 2559 พบมีผู้ที่เคยใช้สารเสพติดจำนวนเกือบ 3 ล้านคน หรือ 58.2 คนต่อประชากร 1,000 คน ประมาณร้อยละ 70 เป็นยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน


อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าวว่า สารกระตุ้นประสาทกลุ่มแอมเฟตามีน ที่พบแพร่ระบาดในไทยมี 2 รูปแบบ คือชนิดเม็ดหรือยาบ้า และชนิดเกร็ดหรือที่เรียกว่าไอซ์ ไม่ว่าจะเสพแบบไหนก็ตามทำให้เกิดปัญหาทั้งร่างกายและจิตใจอย่างน้อย 5 ประการคือ 1.ขาดสารอาหารเนื่องจากทำให้ความอยากอาหารลดลง โดยหากเป็นเด็กและวัยรุ่น จะมีผลให้พัฒนาการของสมองล่าช้า ติดเชื้อง่าย เนื่องจากขาดภูมิต้านทานโรค 2.ความสามารถในการทำงานหรือการเรียนลดลง 3.มีความผิดปกติทางอารมณ์ ที่พบได้บ่อยคือ ซึมเศร้า วิตกกังวล พบได้ทั้งช่วงเสพยาและช่วงหยุดเสพ 4.สมองส่วนความคิดมีความผิดปกติ และ5.เกิดอาการทางจิตพบในรายที่เสพติดอย่างหนักติดต่อกันเป็นเวลานาน  โดยยาบ้าเป็นสารกระตุ้นประสาทที่พบอาการป่วยทางจิตได้บ่อยที่สุดเรียกว่าโรคจิตจากเมทแอมเฟตามีน (Methamphetamine induced Psychosis) มีอาการคล้ายกับโรคจิตเภท ที่พบบ่อยที่สุดคือ หวาดระแวงกลัวคนมาทำร้าย หูแว่วได้ยินคนอื่นพาดพิงถึงตน มีความเสี่ยงทำร้ายตัวเองตนเองสูง  ผลการวิจัยในต่างประเทศพบว่า คนที่ติดยาบ้างอมแงมมีโอกาสเกิดโรคทางจิตสูงกว่าคนทั่วไปถึง11เท่าตัว จึงขอให้ผู้เสพเลิกเสพยาให้ได้โดยเร็วที่สุด  โดยสามารถเข้ารับการบำบัดได้ที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน 


ทั้งนี้ในปี 2560  มีผู้ป่วยติดสารเสพติดที่มีอาการทางจิตเข้าบำบัดรักษาในสถานพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศ  226,391 คน คิดเป็นร้อยละ 8 จากผู้ป่วยจิตเวชทั้งหมด 2,669,821 คน  ในปีนี้กรมสุขภาพจิตได้ให้โรงพยาบาลจิตเวชทุกแห่งบำบัดรักษาและฟื้นฟู โดยตั้งเป้าหยุดเสพยาต่อเนื่อง 3 เดือนภายหลังรักษาแล้วให้ได้ร้อยละ 98


ทางด้านนายแพทย์กิตต์กวี  โพธิ์โน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจิตเวชนครพนมราชนครินทร์ จ.นครพนม  กล่าวว่า  ในปีนี้โรงพยาบาลจิตเวชนครพนมฯ ได้ศึกษาประสิทธิภาพของโปรแกรมการบำบัดด้วยวิธีการ “สติบำบัด” (Mindfulness- based Therapy and counseling for Relapse Prevention) โดยเพิ่มการสร้างความเข้มแข็งทางจิตใจ และมีเทคนิคจัดการกับอารมณ์  ความอยากเสพยา  เพื่อลดและป้องกันปัญหาการเสพยาซ้ำหลังรักษา   ซึ่งจะช่วยลดความรุนแรงอาการป่วยทางจิตของผู้ติดยาเสพติดลงได้  ใช้เวลา 2เดือนทั้งขณะอยู่ที่ผู้ป่วยพักรักษาตัวในโรงพยาบาลและอยู่ที่บ้าน    ผลการศึกษาในผู้ป่วยที่อาการทางจิตทุเลาแล้วและสมัครใจในเบื้องต้นจำนวน 15 คน  พบว่า สามารถป้องกันการกลับไปเสพยาซ้ำได้ผลเป็นที่พอใจ โดยภายใน 3  เดือนหลังครบโปรแกรมบำบัด  ผู้ป่วยทั้ง 15 คนหรือ100 เปอร์เซนต์ ไม่กลับไปเสพยาบ้า และไม่มีกลับเข้ามานอนพักรักษาแบบผู้ป่วยในซ้ำในโรงพยาบาล และยังได้ผลลัพธ์ที่ดีในระยะ 6 เดือน ผู้ป่วย 13 คน ไม่กลับไปเสพซ้ำ  และมี 14 คน ไม่กลับมารักษาซ้ำแบบผู้ป่วยใน  ขั้นต่อไปวางแผนจะศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิภาพกับการบำบัดด้วยวิธีอื่นๆ  


         เช่น วิธีการเสริมแรงจูงใจ ใช้ขนาดกลุ่มใหญ่ขึ้นตามมาตรฐานการวิจัยในระดับสากล ต่อไป สำหรับการทำสติบำบัดนั้น เป็นการฝึกให้ผู้ป่วยรู้เท่าทันความคิดตัวเอง มีทักษะหยุดความคิดตัวเอง โดยเฉพาะความคิดการใช้ยาเสพติด ให้มีสติอยู่กับกิจกรรมที่ทำในปัจจุบัน ไม่วอกแวกไปกับความคิดอื่นที่จะนำพาไปสู่การใช้ยาเสพติดอีก  ผู้ให้การบำบัดต้องได้ผ่านการอบรมและได้รับการรับรองจากกรมสุขภาพจิต

Shares:
QR Code :
QR Code