เปิดใจให้โอกาส“ผู้ป่วยจิตเวช”

ที่มา : เว็บไซต์กระทรวงสาธารณสุข


ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ


เปิดใจให้โอกาส“ผู้ป่วยจิตเวช” thaihealth


แฟ้มภาพ


"กรมสุขภาพจิต" ชวนสังคมฟังเสียงสะท้อนผู้ป่วยจิตเภท เปิดใจ ยอมรับ ให้โอกาสและให้กำลังใจ พร้อมย้ำ "โรคจิตเภท" เป็นโรคเรื้อรังที่สามารถรักษาได้ ไม่ใช่โรคที่น่ากลัว ชี้ความหวังและการกำลังใจจากคนรอบข้าง เป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับผู้ป่วย


ที่ รพ.ศรีธัญญา นาวาอากาศตรี นายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ทุกวันที่ 24 พ.ค. ของทุกปี หลายประเทศทั่วโลกได้ร่วมกันจัดกิจกรรมเนื่องในวันโรคจิตเภท (Schizophrenia Awareness Day) เพื่อสร้างความตระหนักและลดอคติในสังคมที่มีต่อโรคนี้ ซึ่งวันนี้ กรมสุขภาพจิต โรงพยาบาลศรีธัญญา สมาคมสายใยครอบครัว ชมรมเพื่อนรัก และผู้มีประสบการณ์ตรงกับโรคจิตเภท ได้ร่วมกันจัดงานขึ้น ภายใต้หัวข้อ “ชีวิตยังมีความหมาย แม้มีโรคจิตเภท (There is life after schizophrenia)” อาการสำคัญของโรคนี้ คือ มีความคิด การรับรู้ อารมณ์และพฤติกรรมที่ผิดปกติ มีความคิดไม่ต่อเนื่อง ประสาทหลอน หลงผิด หวาดระแวง ควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ แยกตัวจากสังคม ไม่ค่อยดูแลตนเอง เหมือนหลุดไปจากความเป็นจริง ส่งผลเสียต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน


โรคนี้พบได้ประมาณร้อยละ 1 ของประชากรทั่วโลกมีผู้ป่วยด้วยโรคนี้หลายสิบล้านคน มักพบในช่วงวัยรุ่นตอนปลายหรือวัยผู้ใหญ่ อายุระหว่าง  15-35 ปี สำหรับประเทศไทย โรคจิตเภท พบมากที่สุด จากข้อมูลสำนักบริหารระบบบริการสุขภาพจิต กรมสุขภาพจิต คาดการณ์ว่า มีผู้ป่วยโรคจิตทั่วประเทศ ประมาณ 421,298 คน ในจำนวนนี้เป็นผู้ป่วยจิตเภทที่เข้าถึงบริการ ประมาณ 2 ใน 3 หรือประมาณ 288,806 คน


อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวย้ำว่า "โรคจิตเภท"เป็นโรคเรื้อรังที่สามารถรักษาได้ ไม่ใช่โรคที่น่ากลัว สาเหตุมาจากปัจจัย 3 ด้านประกอบกัน คือ ความโน้มเอียงที่มีอยู่ก่อน เช่น พันธุกรรม พื้นฐานทางอารมณ์ ปัจจัยกระตุ้น เช่น การกระทบกระเทือนของสมอง ความเครียด ฮอร์โมน โรคบางอย่าง หรือสารเสพติด และปัจจัยที่ทำให้โรคดำเนินต่อไป คือการไม่ได้รับการดูแลรักษา ส่งเสริมสุขภาวะที่เหมาะสม เนื่องจากไม่ตระหนักรู้ถึงโรคจิตเภท หรือเพราะอคติต่อการเจ็บป่วยด้วยโรคนี้ หากรับการรักษาที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ต่อเนื่อง จะก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานแก่ผู้ป่วยและคนรอบข้างอย่างมาก ผู้ป่วยอาจเกิดความหวาดระแวงสูง กลัวคนอื่นมาทำร้าย นำไปสู่การก่อเหตุรุนแรง สังคมหวาดกลัว ตอกย้ำตราบาปให้ผู้ป่วยมากยิ่งขึ้น


สำหรับการดูแลรักษา มีทั้งการรักษาทางกายด้วยการใช้ยา เพื่อลดอาการและป้องกันการกลับเป็นซ้ำ ควบคู่กับการรักษาทางจิตใจ ด้วยการพูดคุยให้ผู้ป่วย มีความเข้าใจตัวเองและมีความพยายามที่จะปรับปรุงแก้ไขในส่วนที่ผิดปกติ พร้อมปรับกระบวนการคิดที่ส่งผลให้อาการของโรคแย่ลง รวมทั้งทำจิตบำบัด พฤติกรรมบำบัด ออกกำลังกาย และครอบครัวบำบัด การฟื้นฟูสมรรถภาพ เช่น ฝึกทักษะการใช้ชีวิตในสังคม ทักษะการประกอบอาชีพ ทักษะการสื่อสาร สร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่น ตลอดจนส่งเสริมให้ญาติมีความรู้ เจตคติและทักษะการดูแลผู้ป่วย


“ความหวังและกำลังใจเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับผู้ป่วย ที่จะช่วยให้สามารถก้าวข้ามผ่านความเจ็บป่วยนั้นไปได้ หากพวกเขาได้รับการบำบัดรักษาและส่งเสริมดูแลอย่างเหมาะสม ย่อมสามารถคืนสู่สุขภาวะ มีชีวิตที่มีความหมายได้ตามศักยภาพ ซึ่งการรักษาส่งเสริมคุณภาพชีวิตของคนจำนวนมากเหล่านี้ เป็นการลงทุนที่ส่งผลคุ้มค่าทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม ผู้ป่วยจึงต้องยอมรับก่อนว่า ตนเองมีอาการและเปิดใจที่จะทำการรักษา ประกอบกับครอบครัวยอมรับ พามารักษาในระยะเริ่มต้น มีแพทย์ที่เอาใจใส่ และยาที่ใช้ในการรักษามีประสิทธิภาพ ตลอดจนชุมชน สังคมและสื่อมวลชน ต้องไม่ลดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้ป่วย เปิดใจ ยอมรับ ให้โอกาสและกำลังใจกับพวกเขา ให้กลับมาอยู่ในครอบครัวที่พวกเขารัก และมีที่ยืนในสังคม อย่างมีคุณค่าและมีความหมายอีกครั้ง” อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าว


ด้าน นพ.ศิริศักดิ์ ธิติดิลกรัตน์ ผอ.รพ.ศรีธัญญา กล่าวเสริมว่า ปี 2559 รพ.ศรีธัญญา มีผู้ป่วยโรคจิตเภทรับบริการรักษาเป็นผู้ป่วยนอก จำนวน 50,635 คน และผู้ป่วยใน จำนวน 2,759  คน และการจัดงานครั้งนี้ โรงพยาบาลศรีธัญญา กรมสุขภาพจิตและเครือข่ายหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะช่วยสร้างการตระหนักรู้ ความเข้าใจโรคจิตเภทและผู้อยู่กับโรคจิตเภท ตลอดจนสังคมจะได้ยินเสียงผู้ป่วยจิตเภทว่าเขาต้องการชีวิตที่มีความหมายแบบใด อะไรที่จะเป็นประโยชน์ส่งเสริมพวกเขาสู่เป้าหมายนั้น เพื่อให้พวกเขาสามารถลุกขึ้นมารับผิดชอบการสร้างชีวิตที่มีความหมาย เพื่อตัวเขาและสังคมโดยรวมต่อไปได้

Shares:
QR Code :
QR Code