เปิดแนวทางพัฒนา ‘เด็กเยาวชนและครอบครัว’ รับไทยแลนด์ 4.0
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ
เป็นมหกรรมสร้างเสริมสุขภาวะที่มีการรวบรวมองค์ความรู้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กมากที่สุดเลยทีเดียว สำหรับมหกรรมสร้างเสริมสุขภาวะเด็ก เยาวชนและครอบครัว "กว่าทศวรรษ พัฒนาครอบครัวอบอุ่น สร้างคุณค่าคน คือ ผลงานของเรา" ที่อาคารอิมแพ็คฟอรั่ม เมืองทองธานี แจ้งวัฒนะ จังหวัดนนทบุรี เมื่อวันก่อน
นอกจากความรู้ในการเตรียมคนรุ่นหลังให้มีสุขภาวะที่ดีและมีครอบครัวอบอุ่นที่หลายคนให้ความสนใจ คำแนะนำและบทสรุปจากมหกรรมยังช่วยเพิ่มแรงกระตุ้นให้ทุกฝ่ายผนึกกำลังกันสร้างเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นพลังคลื่นลูกใหม่ผลักดันประเทศไทยขับเคลื่อนไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
มหกรรมสร้างเสริมสุขภาวะนี้เกิดขึ้นโดยสำนักสนับสนุนสุขภาวะ เด็ก เยาวชนและครอบครัว (สำนัก 4) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และภาคีเครือข่ายองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และกลุ่มเด็กและเยาวชน โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมเก็บเกี่ยวความรู้ เยี่ยมชมนิทรรศการ และอบรมเพิ่มทักษะคึกคักทั้งสองวัน
นางเพ็ญพรรณ จิตตะเสนีย์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านเด็ก เยาวชนและครอบครัว สสส. กล่าวสรุปรายงานภาพรวมการดำเนินงานมหกรรมสร้างเสริมสุขภาวะครั้งนี้ว่า จากการสำรวจความคาดหวังของผู้ร่วมงานในมุมมองด้านเด็ก เยาวชนและครอบครัว พบว่า อยากให้เด็กเกิดความเท่าเทียม เสมอภาค ทุกคนควรมีโอกาสพบสิ่งดีๆ ในชีวิต มีสิทธิเสรีภาพสำหรับโลกยุค 4.0 โดยความคาดหวังดังกล่าวนี้จะสำเร็จได้ต้องการอาศัยการร่วมมือกันของทุกฝ่าย ดังเช่นคำแนะนำของ ศ.นพ.ประเวศ วะสี ที่กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง "สร้างคนไทยคุณภาพ: จากการเรียนรู้ ร่วมกันในการปฏิบัติ" ว่า เด็ก เยาวชนและครอบครัวเป็นศูนย์กลางของเป้าหมายในการทำงาน ดังนั้นทุกฝ่ายต้องเน้นถึงความร่วมมือตั้งแต่ระดับบุคคล องค์กร นโยบาย ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กและลงมือปฏิบัติทันที เพื่อสร้างคนไทยให้มีคุณภาพที่ยั่งยืน
นอกจากนั้นยังมี ศ.กิตติคุณ ดร.เทียนฉาย กีระนันทน์ กรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 และประธานคณะอนุกรรมการเตรียมคนไทยสู่ศตวรรษที่ 21 ที่แสดงทัศนะว่า กระบวนทัศน์และหลักคิดที่เหมาะสมในการเตรียมคนไทยสู่ศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วย ความพอเพียง มีวินัย มีความรับผิดชอบ และมีจิตสาธารณะ จะเป็นพื้นฐานความคิดและพลังขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ
ส่วนหัวใจสำคัญภายในงาน นางเพ็ญพรรณกล่าวด้วยว่า มีการรวบรวมองค์ความรู้และอบรมทั้งหมด 32 หัวข้อ มีนิทรรศการ "การพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต ฐานทุนสำคัญของการพัฒนาประเทศ" ให้เยี่ยมชม ช่วงเวลาการทำงาน 15 ปีของแผนงานฯ ตลาดนัดภาคีเครือข่ายสร้างสุข คลินิกสร้างสุข กิจกรรมพัฒนาทักษะเพื่อสนับสนุนการทำงาน
"ตลอดระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมา สำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชนและครอบครัว ทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายขับเคลื่อนหลากหลายประเด็น เพื่อให้เด็กเยาวชน ครอบครัวมีสุขภาวะที่ดี โดยอยากเห็นการเปิดพื้นที่ให้เด็กและเยาวชนมีส่วนร่วมกำหนดแนวทางในการพัฒนาประเทศ ผลักดันข้อเสนอเป็นนโยบายให้เป็นรูปธรรม การนำความรู้ต่างๆ มาปฏิบัติจริงในวงกว้าง และภาคีเครือข่ายเชื่อมโยงการทำงานร่วมกัน" นางเพ็ญพรรณสรุปแนวทางทำงาน
เมื่อพูดถึงทิศทางพัฒนาประเทศของรัฐบาลนี้ อยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านและสร้างคน ส่วนจะสร้างเด็กไทยให้มีคุณภาพได้อย่างไรนั้น ไปฟังมุมมองของ รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ ประธานคณะกรรมการบริหารแผนคณะที่ 4 สสส. ร่วมกล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "ทิศทางของการพัฒนา เด็ก เยาวชน และครอบครัวเพื่อตอบสนองต่อการเข้าสู่ประเทศไทยยุค 4.0" ในมหกรรมครั้งสำคัญดังกล่าว
รศ.ดร.วรากรณ์บอกว่า ไทยยุค 4.0 คือ การก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลาง เปลี่ยนจากการเพิ่มมูลค่าเป็น การสร้างมูลค่า จากทำมากได้น้อย ให้เป็นทำน้อยได้มาก โดยการนำเรื่องนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ ในโลกปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เราต้องมีการปรับตัวด้านการมองโลก โดยผ่านความเชื่อ ความรู้ และประสบการณ์ หรือเรียกว่า ทัศนคติฝังใจ (Mindset) ในแบบทัศนะฝังใจแบบออกจากตนเอง (Outward Mindset) ก็จะแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ เพราะเป็นการมองที่เน้นเป้าหมายของเราเป็นหลัก โดยคิดว่าตนเองมีผลกระทบต่อคนอื่นอย่างไร เช่น ครอบครัวเป็นสถาบันเริ่มต้นที่ต้องรับผิดชอบต่อสังคม มีหน้าที่ดูแลทุกคนในครอบครัวให้ดี ไม่ใช่ฝากปัญหาที่เกิดขึ้นให้ สสส.หรือรัฐบาลเป็นฝ่ายดูแลตลอดไป
หลักคิดใหญ่ๆ รศ.ดร.วรากรณ์กล่าวว่า เริ่มจากรวมกันคิด ตั้งใจทำสิ่งดีๆ เพื่อสังคมส่วนรวม มีความรับผิดชอบ สถาบันครอบครัวต้องปลูกฝังความรับผิดชอบและอบรมบ่มเพาะให้ลูกมีคุณภาพ มีพลังความชอบในระดับหลงใหลที่ชัดเจน (Passion) โดยทำหน้าที่ตัวเองอย่างเต็มกำลังความสามารถ ซึ่งเป็นหน้าที่ของทุกคนที่ต้องช่วยกันแก้ไขปัญหาและร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไทย
อีกช่วงเวลาน่าประทับใจของมหกรรมนี้เป็นหัวข้อเสวนาชื่อแสนอบอุ่น "บอกเล่า แบ่งปัน สร้างสรรค์ประสบการณ์" นำเสนอเรื่องราวการสร้างสัมพันธภาพครอบครัวในยุคโซเชียลผ่านบุคคลที่มีประสบการณ์ตรง
อ้อม-พิยดา จุฑารัตนกุล คุณแม่ดาราชื่อดัง ร่วมแบ่งปันเคล็ดลับการเลี้ยงน้องนาวา ลูกสาววัย 5 ขวบ ว่า ตนกับสามีช่วยกันเลี้ยงและสอนลูก เน้นเรื่องความเป็นระเบียบและตรงต่อเวลาตั้งแต่เล็กๆ โดยนำตำราต่างประเทศมาประยุกต์ใช้ เพื่อฝึกการใช้ชีวิตให้เป็นระเบียบและรู้จักเวลาของตัวเอง สำหรับการเรียนรู้นอกห้องเรียน ให้ลูกเข้าค่ายเรียนรู้การอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติในโครงการของอเล็กซ์ เรนเดลล์ เพื่อเรียนรู้ลมหายใจของป่าไม้ ควบคู่กับความรับผิดชอบด้านการเรียนหนังสือที่โรงเรียน ด้านโภชนาการเน้นการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ และปลูกฝังให้รักการกินผักตั้งแต่เด็กๆ ฝึกสมาธิและสวดมนต์
วิธีเลี้ยงลูกของบ้านนี้ การเป็นตัวอย่างให้ลูกก็สำคัญมาก เธอนั่งสมาธิสวดมนต์ไหว้พระให้น้องนาวาเห็นตั้งแต่เล็ก จนเมื่อลูกโตขึ้นจึงเรียนรู้การนั่งสมาธิตามเพื่อฝึกลมหายใจและสติ รวมถึงปลูกฝังให้รู้จักความพอเพียง รู้จักความรับผิดชอบ มีความพอดีในการใช้ชีวิต ตามรอยในหลวงรัชกาลที่ 9 นอกจากนี้ต้องสร้างภูมิต้านทานกับโลกยุคโซเชียลมีเดีย โลกยุคที่มีข้อมูลข่าวสารที่ส่งต่อกันอย่างรวดเร็วเช่นนี้ สอนให้ลูกเท่าทันสื่อ และใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติเป็นหลัก แทนที่จะเสพสื่อบนหน้าจอ
"ปลูกฝังให้รู้คุณค่าในตัวเอง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพ่อกับแม่รักลูกตลอดไป ไม่เคยบอกลูกว่าถ้าไม่ทำแบบนั้นแบบนี้พ่อกับแม่จะไม่รัก เพื่อให้ลูกเห็นคุณค่าในตัวเองและรู้ว่ายังมีคนที่รักเขาเสมอ เมื่อเติบโตขึ้นเขาก็จะทำสิ่งที่ดีให้สังคม และช่วยกันให้ประเทศเราน่าอยู่ขึ้น" เป็นถ้อยคำที่แม่อ้อม พิยดา และสามีบอกกับลูกสาวเสมอมา
เด็กและเยาวชนเป็นกลุ่มเป้าหมายแรกที่ต้องวางรากฐานให้มั่นคง อย่างไรก็ตามความสำเร็จต้องอาศัยการร่วมมือกันจากทุกฝ่าย ทั้งครอบครัว ครู อาจารย์ รวมไปถึงหน่วยงานต่างๆ ที่คอยหล่อหลอมปลูกฝังและเติมทักษะให้พวกเขาเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีหลักคิดที่สมบูรณ์สำหรับการขับเคลื่อนคนไทยสู่ศตวรรษที่ 21