เปิดข้อมูลโรงเหล้าเถื่อน ผสม “ยาฆ่าแมลง-เคมี” ไขปัญหา “6 จังหวัดภาคเหนือ”
กมธ.เด็ก สภาฯ จับมือ สสส.-เครือข่ายแอลกอฮอล์ ไขปัญหา “6 จังหวัดภาคเหนือ” แชมป์คนเมามากสุดในประเทศ “อรุณี” เปิดข้อมูลโรงเหล้าเถื่อน ผสม “ยาฆ่าแมลง-เคมี” ลดทุน เลี่ยงภาษี ต้นเหตุปัญหาสังคมเพียบ ทั้งป่วย ฆ่าตัวตาย หย่าร้าง ตบตี ลั่นต้องแก้คุณภาพชีวิตให้ได้
เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ที่โรงแรมพะเยาเกทเวย์ จ.พะเยา คณะกรรมการธิการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ และผู้พิการ สภาผู้แทนราษฎร ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (สคอ.) กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) ศูนย์ประสานงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า ภาคเหนือตอนบน (สคล.เหนือบน) จ.พะเยา จ.เชียงใหม่ จ.เชียงราย จ.แพร่ จ.ลำปาง และ จ.น่าน จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาแผนยุทธศาสตร์ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของ 6 จังหวัดภาคเหนือตอนบน โดยมีภาคีเครือข่าย ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้บริหารท้องถิ่นเข้าร่วม 200 คน
นางอรุณี ชำนาญยา ประธานคณะกรรมาธิการเด็ก สตรี เยาวชน ผู้สูงอายุ และผู้พิการ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า จากรายงานสถานการณ์การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งพบ 6 จังหวัดในภาคเหนือตอนบน ได้แก่ จ.พะเยา เชียงใหม่ เชียงราย แพร่ ลำปาง และแม่ฮ่องสอน เป็นจังหวัดที่อยู่ในกลุ่มความเสี่ยง และมีอัตราการดื่มสูงที่สุดในประเทศติดต่อกันมาหลายปี โดยเฉพาะมีนักดื่มในกลุ่มวัยทำงาน และวัยรุ่นมากที่สุด ซี่งถือเป็นปัญหาสังคมและปัญหาทางสุขภาพที่ส่งผลต่อการพัฒนาประเทศชาติ อีกทั้งยังส่งผลต่ออัตราการเสียชีวิตที่มากขึ้น ทั้งจากอุบัติเหตุและโรคภัยไข้เจ็บอันเนื่องมาจากการดื่มแอลกอฮอล์ ที่สำคัญยังพบปัญหาครอบครัวแตกแยก การหย่าร้าง การใช้กำลัง การฆ่าตัวตาย ซึ่งจากปัญหาทั้งหมดทำให้ทุกภาคส่วนต้องสร้างยุทธศาสตร์การทำงานร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ
นางอรุณี กล่าวอีกว่า นอกจากนั้น จ.พะเยา ยังติดอันดับจังหวัดที่มีการดื่มสุราเถื่อนมากที่สุดของประเทศ จากการสำรวจข้อมูลพบว่า ปัจจุบันมีสุราพื้นบ้านที่ขึ้นทะเบียนกับกรมสรรพสามิตร ใน จ.พะเยา มีจำนวนถึง 260 แห่ง ซึ่งเป็นจำนวนสูงมากในลำดับต้นๆ ของประเทศ โดยการผลิตสุราพื้นบ้านเหล่านี้ ยังพบปัญหาสำคัญ คือ มีผู้ผลิตบางแห่งลักลอบเติมสารเคมี สารฆ่าแมลงลงในกระบวนการผลิตเพื่อหวังผลให้เกิดความมึนเมามากขึ้นและยังเป็นการลดต้นทุนการผลิต โดยที่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ทั้งหมด เนื่องจากมีการผลิตทุก 3-5 วัน โดยการลักลอบเติมสารเหล่านี้ทำให้เสี่ยงที่จะเกิดอันตรายต่อผู้ดื่มมากขึ้น นอกจากนี้ยังพบปัญหาการเลี่ยงภาษีทำให้สุรามีราคาถูก และยังมีการแบ่งขาย ทำให้เกิดการเข้าถึงได้อย่างง่ายดาย
“การแก้ปัญหาการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่ จ.พะเยา ถือเป็นเรื่องสำคัญ ต้องอาศัยทั้งความร่วมมือของทุกภาคส่วนในพื้นที่ การบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง การรณรงค์และการใช้มาตรการทางสังคมเพื่อทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลด ละ เลิก การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งการแก้ปัญหาสังคมเป็นเรื่องที่ต้องทำให้ได้และจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เพราะแม้ว่าการกลั่นสุราจะสร้างอาชีพแต่หากไม่คุ้มกับคุณภาพชีวิต และผลกระทบทางสังคมที่เกิดขึ้นก็เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง และยังถือเป็นการจุดประกายให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่อื่นๆ ด้วย” นางอรุณี กล่าว
ด้าน ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ รองผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า สถานการณ์การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รายจังหวัด ในปี 2554 ตามที่สำนักงานสถิติแห่งชาติได้สำรวจพฤติกรรมการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ของประชากร พบว่า ภาคเหนือมีอัตราการบริโภคหรือสัดส่วนของนักดื่มสูงถึง ร้อยละ 39.4 ซึ่งสูงกว่าภาคอื่นๆ และเมื่อพิจารณาค่าดัชนีคะแนนความเสี่ยงต่อปัญหาแอลกอฮอล์ ยังพบว่า 10 จังหวัดที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ จ.พะเยา ปราจีนบุรี แพร่ พิษณุโลก เชียงใหม่ เชียงราย ร้อยเอ็ด สุโขทัย ลำปาง และแม่ฮ่องสอน โดยเฉพาะ จ.พะเยา มีอัตราการดื่มสูงที่สุดในประเทศติดต่อกันมาหลายปี จึงจำเป็นต้องมีการวางยุทธศาสตร์การทำงานอย่างจริงจังเพื่อแก้ปัญหา โดยนำข้อมูลเชิงวิชาการ สถานการณ์การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผลกระทบที่เกิดขึ้น ประกอบกับใช้แผนยุทธศาสตร์นโยบายแอลกอฮอล์ระดับชาติ รวมกับมาตรการที่มีประสิทธิผล เพื่อมาวางแนวทางการร่างยุทธศาสตร์จังหวัด และทำความตกลง เลือกหน่วยจัดการในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์แก้ไขปัญหาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างเป็นระบบในพื้นที่ 6 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ซึ่งคาดว่าจะเริ่มขับเคลื่อนการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ได้ในเดือนกันยายน 2556 เป็นต้นไป
ที่มา : สำนักข่าวสร้างสุข