เปลี่ยนโลกสีเทา ของเด็กและเยาวชน
ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน
แฟ้มภาพ
ปัจจุบันเด็กและเยาวชนต้องพบเจอปัญหาในสังคมสีเทามากมาย ทั้งปัญหาการก่อเหตุยุวอาชญากรรมที่พบว่า ในรอบปีหนึ่งๆ ประมาณ 30,000 คน ปัญหาองค์รวมทั้งการแก่งแย่งชิงดีกันในกลุ่มเพื่อนและครอบครัว ปัญหาเด็กติดยาเสพติด มั่วสุมจนเกิดการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร ปัญหาการรังแกกันในโลกออนไลน์
โดยใช้เครื่องมือสื่อสารเป็นเครื่องมือหลัก เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์เชื่อมต่อเครือข่ายสังคมออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม แชต หรือเครือข่ายทางสังคมออนไลน์อื่นๆ ทั้งโจมตี ขู่ทำร้าย หรือใช้ถ้อยคำหยาบคาย การคุกคามทางเพศแบบออนไลน์ การแอบอ้างตัวตนของผู้อื่นที่ส่งผลกระทบทางลบอย่างมาก ต่อผู้ถูกกระทำทั้งทำให้อับอาย หวาดกลัว หดหู่ โดดเดี่ยว ท้อแท้ สิ้นหวัง ทำร้ายตัวเอง และอาจรุนแรงถึงขั้นพยายามฆ่าตัวตาย รวมถึงปัญหาอื่น ๆ อีกมากมาย โลกที่น่าอยู่ ที่เหมาะสมแก่การพัฒนาของเด็กและเยาวชนได้มลายหายไป เราที่เป็นผู้ใหญ่จะมีวิธีการอย่างไรที่จะช่วยให้เด็กและเยาวชน อาศัยอยู่ท่ามกลางสังคมที่เปลี่ยนแปลงเหล่านี้
สมพงษ์ จิตระดับ สุอังคะวาทิน และชุติมา ชุมพงศ์ หน่วยปฏิบัติการวิจัยเพื่อการพัฒนาด้านเด็กและเยาวชน คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ข้อมูลว่า ศูนย์วิจัยและพัฒนาด้านเด็กและเยาวชน คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นศูนย์วิจัยที่ทำงานเกี่ยวกับเด็กและเยาวชนมาอย่างยาวนาน ด้วยการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ทั้งการลงพื้นที่ติดตาม การรวบรวมสภาวการณ์ทั้งการพัฒนาเครือข่าย (Node) กลุ่มเด็กและเยาวชนทั้งเกาะติดกับพื้นที่
สถานการณ์ปัญหาต่างๆ การส่งเสริมศักยภาพพัฒนาคนทำงานด้านเด็กและเยาวชน เช่น การเสริมพลังเยาวชน สร้างนวัตกรรุ่นใหม่ โดยนำกระบวนการ design thinking ไปใช้ออกแบบนวัตกรรมทางสังคม การรู้เท่าทันสื่อ สารสนเทศ และดิจิทัล โดยมุ่งให้แกนนำเด็กและเยาวชนรู้เท่าทันตนเอง รู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศ และสามารถประยุกต์ใช้องค์ความรู้ในประเด็นเหล่านี้เพื่อช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อตนเอง และต่อการผลิตสื่อสู่สาธารณะได้
รวมถึงวิธีการเขียนโครงการเพื่อขอทุนสนับสนุนกับองค์กรภายนอก เพื่อให้เกิดพื้นที่สร้างสรรค์ในการทำกิจกรรมของเด็กและเยาวชน และเชื่อมเครือข่ายระหว่างคนทำงาน นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริมการทำวิจัยระยะสั้นให้อาจารย์ นักวิจัยรุ่นใหม่ ในการพัฒนาศักยภาพตนเอง สร้างองค์ความรู้ นวัตกรรมใหม่ เพิ่มพื้นที่การนำเสนองานวิจัย รวมทั้งสร้างแนวปฏิบัติการเชิงรุกในการแก้ไขประเด็นปัญหาด้านเด็กและเยาวชนกลุ่มเปราะบาง
ทั้งที่เป็นเยาวชนในกระบวนการยุติธรรมหรือเยาวชนกลุ่มชาติพันธุ์ ประเด็นเฉพาะหรือกลุ่มที่มีความต้องการเฉพาะโดยตั้งต้นจากการใช้งานวิจัยเป็นฐาน เพื่อให้ลดปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นให้น้อยลงหรือป้องกันไม่ให้เกิดมากไปกว่านี้ โครงการที่ทางศูนย์ สนับสนุนเพื่อช่วยแก้ปัญหาเด็กและเยาวชน ได้แก่
1. โครงการวิจัยแนวทางการจัดการศึกษาทางเลือกสำหรับเด็กและเยาวชน ในกระบวนการยุติธรรม โดย รศ.ดร.วีระเทพ ปทุมเจริญวัฒนา ภาควิชาการศึกษาตลอดชีวิต คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นโครงการที่นำเสนอแนวทางการจัดการศึกษาทางเลือก สำหรับเด็กและเยาวชนในกระบวนการยุติธรรม เนื่องจากแนวทางพัฒนาคุณภาพเด็กและเยาวชน ในกระบวนการยุติธรรมที่อยู่ในศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน ในรูปแบบการจัดการศึกษานอกระบบในปัจจุบัน ยังไม่ครอบคลุมกับเป้าหมายของการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ตามศักยภาพ ความถนัดและความสนใจของเด็กและเยาวชนในกลุ่มนี้
หลักสูตรการเรียนรู้ยังแข็งตัวกับระบบกระแสหลัก จึงได้มีการจัดการศึกษาที่สอดคล้องกับบริบท ตัวตน และความสามารถของเด็กและเยาวชนในกระบวนการยุติธรรมตามแนวทางของการจัดการศึกษาทางเลือก การจัดการศึกษาบนฐานกิจกรรมหรือกลุ่มประสบการณ์ (Project Based) เพื่อผลสัมฤทธิ์ของการศึกษาภาคบังคับ อาชีพ ทักษะความสามารถ ทักษะชีวิต วุฒิภาวะ และคุณธรรมจริยธรรม
2. โครงการวิจัยเชิงปฏิบัติการอย่างมีส่วนร่วม เพื่อพัฒนาเครือข่ายการเรียนรู้ พลเมืองเด็กและเยาวชนรู้เท่าทันสื่อสารสนเทศและดิจิทัล ในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก โดย ดร.อรรฏชณม์ สัจจะพัฒนกุล สาขาวิชาการสอนสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม เป็นงานวิจัยที่ใช้กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการอย่างมีส่วนร่วม (Participatory Action Research) มุ่งพัฒนาศักยภาพของเด็กและเยาวชนที่เข้ามีส่วนร่วมในการวิจัย
สร้างและพัฒนาสังคมแห่งการเรียนรู้เชิงเครือข่าย เพื่อพัฒนาสมรรถนะพลเมืองเด็กและเยาวชน รู้เท่าทันสื่อสารสนเทศและดิจิทัล ในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก เนื่องจากในปัจจุบันในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกนั้น เด็กและเยาวชนใช้เวลาหน้าจอกับโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ เป็นเวลา 6 ชั่วโมงหรือมากกว่า 1 ใน 4 ของแต่ละวัน ภูมิทัศน์การเรียนรู้ของผู้เรียนเปลี่ยนไปพร้อมกับภูมิทัศน์สื่อ แต่ภูมิทัศน์ในการจัดการเรียนการสอนของครู รวมถึงการเรียนรู้ของเด็กในระบบการศึกษายังไม่เปลี่ยน
เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และการศึกษาของเด็กในเมืองและชนบท ส่งผลต่อการรู้เท่าทันสื่อสารสนเทศและดิจิทัล จึงเกิดการพัฒนาเครือข่ายการเรียนรู้ สร้างคู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมความเป็นพลเมืองรู้เท่าทันสื่อสารสนเทศและดิจิทัล
3. โครงการวิจัยพฤติกรรมเสี่ยงการฆ่าตัวตาย ในมุมมองของวัยรุ่นในจังหวัดนครพนม โดย ดร.สุรชัย เฉนียง วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีนครพนม มหาวิทยาลัยนครพนม เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพเพื่อศึกษารับรู้เกี่ยวกับสาเหตุ การป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงการฆ่าตัวตายและความต้องการรูปแบบวิธีการป้องกันการฆ่าตัวตาย ในนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดนครพนม
เนื่องจากปัจจุบันเด็กและเยาวชนต้องอยู่ท่ามกลางสังคมที่ถูกกดดันจากครอบครัว โรงเรียน สังคม และความคาดหวังของตนเอง ต้องเรียนให้ได้เกรด 4 สอบเข้าคณะสายสุขภาพ ระหว่างเรียนต้องไม่มีความรัก ส่งผลให้ไม่สามารถจัดการกับเครียดของตนเองได้ เนื่องจากขาดทักษะในการแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพ จึงหาทางออกด้วยการไปพึ่งพาสารเสพติดและที่รุนแรงไปกว่านั้นคือภาวะซึมเศร้า การพยายามทำร้ายตนเองหรือถึงขั้นฆ่าตัวตาย
งานวิจัยชิ้นนี้ทำให้ผู้เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็กและเยาวชน โดยเฉพาะครู บุคลากรทางการศึกษา รวมไปถึงผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถนำองค์ความรู้ สารเทศ ที่ได้ไปเป็นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบการป้องกัน และการส่งเสริมสุขภาพจิตของเด็กและเยาวชนต่อไป
งานวิจัยทั้ง 3 เรื่องล้วนแล้วแต่สะท้อนวิกฤตโอกาสโลกสีเทาที่รอบล้อมตัวเด็ก ยาเสพติด เหล้า บุหรี่ ความรุนแรง การล้อเลียนทางสื่อ การกดทับอำนาจนิยม ภาวะไร้สร้างสรรค์ของการสร้างพลเมืองและอื่น ๆ ดังนั้นจะเห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในโลกของเด็กและเยาวชนนั้น ซ้ำซ้อนเกินกว่าที่จะมีเพียงหน่วยงานเดียว หรือบางหน่วยงานที่จะช่วยแก้ปัญหาได้
เราในฐานะที่เป็นหน่วยงาน หรือองค์กรที่ทำงานด้านเด็กและเยาวชนต้องช่วยกัน เพื่อหาทางแก้ไขหรือป้องกันการเกิดปัญหา บูรณาการการทำงานแบบเบญจภาคี เพื่อช่วยเหลือเด็กและเยาวชน โดยใช้งานวิจัยเป็นฐาน ต่อยอดข้อเสนอวิจัยจากในพื้นที่สู่การขับเคลื่อนในระดับตำบล จังหวัด สู่ประเทศ สร้างพื้นที่การทำงานภายใต้วัฒนธรรมใหม่ นั่นคือการให้พื้นที่ในการสื่อสาร รับฟังอย่างตั้งใจ ชี้นำผ่านการยกตัวอย่างแต่ไม่ตัดสินใจแทน เคารพการตัดสินใจ และสร้างพื้นที่ปลอดภัยทางความคิด จิตใจและร่างกาย
รวมไปถึงสิ่งสำคัญที่สุด คือ การฟังเสียงเด็กเป็นสำคัญ ผู้เขียนเชื่อว่าจะเป็นการลดปัญหาดังกล่าวที่เกิดขึ้นได้ และโลกแห่งการพัฒนาของเด็กและเยาวชนที่มีสีสันจะกลับมาอย่างแน่นอน