เปลี่ยนพฤติกรรมแย่ ๆ ก่อนสายเกินแก้

ที่มา : SOOK Magazine No.68


ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ


เปลี่ยนพฤติกรรมแย่ ๆ ก่อนสายเกินแก้ thaihealth


คนเรามักมีพฤติกรรมบางอย่างที่ทำจนติดเป็นนิสัย ซึ่งส่งผลกระทบกับสุขภาพและการใช้ชีวิตมากกว่าที่คิด ดังนั้นหากไม่อยากให้เกิดผลเสียในระยะยาว การรู้เท่าทันและปรับพฤติกรรมแย่ ๆ ก่อนสายเกินแก้ คือสิ่งสำคัญที่ควรใส่ใจและปรับเปลี่ยนตั้งแต่ตอนนี้


1. ตามใจปาก ไม่หิวก็จะกิน


พฤติกรรมกินตามใจปากทำให้สุขภาพเสียได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะโรคร้ายต่าง ๆ ทั้งความดันโลหิตสูง ไขมันอุดตัน เบาหวาน รวมไปถึงโรคอ้วน ทางที่ดีควรจะกินอาหารให้เป็นเวลาและเลือกกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ แต่ถ้าติดตามใจปากแล้วอยากเลิก ทำได้ด้วยการไม่กินขนมระหว่างมื้อหยุดกินเมื่อเริ่มรู้สึกอิ่ม ถือคติกินไม่หมดก็ไม่เป็นไร หรือถ้าไม่อยากหักดิบในช่วงแรกอาจทดแทนความอยากด้วยน้ำหรือธัญพืชที่มีประโยชน์แทนขนม


2. ดูทีวีทั้งวัน


มีผลการวิจัยออกมาแล้วว่า การดูทีวีมากกว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน เพิ่มโอกาสการเป็นโรคเบาหวานได้ เพราะการดูทีวี โดยเฉพาะดูซีรีย์ยาว ๆ มักจะควบคู่ด้วยของกินและเครื่องดื่มที่อุดมด้วยแป้งและน้ำตาล ทำให้เสี่ยงโรคเบาหวาน ไม่เพียงเท่านั้นยังส่งผลให้เกิดปัญหาสายตา และอาการออฟฟิศซินโดรมหากว่านั่งไม่ถูกท่า ทางที่ดีควรแบ่งช่วงเวลาการดูทีวีตามสูตร 2/30 คือ ดูทีวี 2 ชั่วโมงแล้วไปออกกำ่ลังกาย 30 นาที ทำ่แบบนี้จะทำให้ได้ออกกำ่ลังกายไปในตัว แล้วระหว่าง 2 ชั่วโมงที่ดูทีวีห้ามกินเด็ดขาด ทำได้แค่ดื่มเปล่าเท่านั้น


3. ไม่กินอาหารเช้า


เพราะอาหารเช้าคือพลังงานสำคัญ หากพลาดมื้อเช้าทั้งวันจะรู้สึกไร้เรี่ยวแรง ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้น้อยก็สะสมเอาไว้จนน้ำหนักเกิน ทั้งยังทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ได้อีกด้วย การปรับเรื่องกินอาหารเช้าทำได้ไม่ยาก หากไม่ได้กินเพราะไม่มีเวลา ก็ขยับเวลาเข้านอน เวลาตื่นนอนให้เร็วขึ้น หรือหากว่าไม่สะดวกกินเป็นมื้อ ๆ ควรมีนม โยเกิร์ต และธัญพืชอบกรอบติดบ้านไว้เป็นมื้อเช้าอย่างง่าย ๆ ก็ได้เช่นกัน


4. วิตกกังวล ชอบแบกโลกทั้งใบ


ความกังวล ความคิดมาก แม้จะไม่ใช่ความเครียดก็ส่งผลเสียต่อร่างกายได้ไม่ต่างจากเวลาที่เครียดจัด เพราะร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกมา ทำให้ความดันขึ้นสูง น้ำตาลพุ่ง ลดความสามารถเผาผลาญพลังงาน ซึ่งแรก ๆ อาจทำให้เกิดโรคอ้วน แต่นานๆ ไปอาจร้ายแรงถึงขั้นเส้นเลือดในสมองแตกได้ ดังนั้นควรเรียนรู้ที่จะปล่อยวาง ทำความเข้าใจกับความเป็นไปของสิ่งต่าง ๆ ระบายความกังวลด้วยการออกกำลังกาย ทำกิจกรรมที่ชอบ จะช่วยลดความกังวลลงได้


5.กัดเล็บ


การกัดเล็บเป็นอาการอย่างหนึ่งของคนที่ขาดความมั่นใจในตัวเอง เครียด คิดมาก ทำให้เกิดปัญหาตามมา ไม่ว่าจะเป็นการเรียงตัวของฟันหน้า การสึกกร่อนของพื้นที่กัดแทะเล็บ การติดเชื้อในร่างกายจากขี้เล็บที่ติดมา และการผิดรูปถาวรของเล็บและฟัน แก้นิสัยนี้ได้ด้วยการหาสาเหตุของการกัดเล็บว่ากัดเพราะอะไร กัดเวลาที่รู้สึกแบบไหน หลังจากนั้นก็หลีกเลี่ยงที่จะรู้สึกแบบนั้น แต่ถ้ายังเลิกไม่ได้ แนะนำให้เอาบอระเพ็ดมาถูตามปลายนิ้วปลายเล็บ จะช่วยได้อย่างแน่นอน


6. งานเผานาทีสุดท้าย


ใครที่ชอบดองงานจนถึงนาทีสุดท้ายคือการทำร้ายตัวเอง อดหลับอดนอน พอทำงานดึก ๆ ก็หาอะไรกิน พฤติกรรมเหล่านี้นำไปสู่โรคทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นร่างกายอ่อนล้าโรคเครียด โรคกระเพาะ กรดไหลย้อน ที่สำคัญงานมักออกมาไม่ดีเท่าที่ควร แก้ปัญหาได้โดยมีความรับผิดชอบ จัดการตารางเวลาให้ดีว่าทำอะไรวันไหน แล้วทำตามตารางอย่างเคร่งครัดจะทำให้ชีวิตผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ


7. ติดโซเชียล


อาการติดโซเชียลส่งผลให้การก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์เป็นพฤติกรรมหลักในชีวิต สายตาต้องเพ่ง ต้องทำงานหนัก นอกจากนี้การเปรียบเทียบชีวิตกับผู้อื่นยังอาจทำให้ความพอใจในตัวเองลดน้อยลง รวมไปถึงการปฏิสัมพันธ์กับคนในสังคม เพราะเอาเวลามาใช้กับโทรศัพท์ และสมาธิสั้นลงเพราะถูกเรียกร้องความสนใจจากการตั้งเตือนต่าง ๆ การบำบัดอาการติดโซเชียลทำได้โดยลดการใช้งานลงแต่ละวันปิดการแจ้งเตือนต่าง ๆ แล้วเลือกเปิดเช็คเฉพาะสิ่งที่สำคัญเท่านั้น รวมทั้งให้เวลาทำ่กิจกรรมอื่น ๆ ที่เกิดประโยชน์เพิ่มมากขึ้น


8. นอนทั้งวันไม่ทำอะไรเลย


เพราะมนุษย์ไม่ได้อยู่กับที่ได้ตลอดเวลาหรือเคลื่อนไหวเพียงแค่วันละนิด การนอนทั้งวันจึงไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก เนื่องจากแต่ละวันมีกิจกรรมผูกตัวเองไว้กับความเครียด ความกังวลต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะการได้ออกกำลังกายจะช่วยให้ระบบการทำงานต่าง ๆ ของอวัยวะทำงานได้ดี ส่วนในที่ทำงานไม่ควรนั่งทางานหน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวัน อย่างน้อย ๆ ก็ควรเปลี่ยนท่านั่งทุก 20 นาที แล้วทุกชั่วโมงลูกมาขยับแข้งขยับขาสักหน่อย จะช่วยป้องกันโรคออฟฟิศซินโดรมได้


9. กินไปทำงานไป


ปัจจุบันคนทำงานยุ่งกันมากขึ้น บางคนต้องกินอาหารบนโต๊ะทำงาน ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ดีเพราะถึงปากจะเคี้ยวอาหารไป แต่สองตาสองมือก็ยังคงง่วนกับการทำงานอยู่ดี การใช้ชีวิตมื้อเที่ยงแบบนี้ไม่เป็นผลดีอย่างแน่นอนเพราะมีผลการวิจัยมาแล้วว่า การกินข้าวอย่างตั้งใจโดยปราศจากสิ่งรบกวนจะทำให้อิ่มท้องได้นานกว่าการกินไปทำ่งานไปถึง 30 นาทีแถมยังลดความต้องการในอาหารมื้อหน้าได้อีกด้วย


10. โมโหง่ายกับทุกเรื่อง


เมื่อร่างกายโกรธและโมโหจะปล่อยฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ออกมาสู้กับการอักเสบต่าง ๆ แต่ในขณะเดียวกันก็กระตุ้นความต้องการน้ำตาลและการหลั่งน้ำตาลในเส้นเลือด ทำให้เกิดโรคอ้วน เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจ เนื่องจากความโกรธทำให้หัวใจทำ่งานเร็วขึ้น เกิดเป็นโรคความดันโลหิตสูงตามมา อีกทั้งทำให้ร่างกายอ่อนแอกว่าปกติจนติดเชื้อโรคได้ง่าย ซึ่งอาการเกรี้ยวกราดง่ายแบบนี้ทำให้เย็นลงได้ด้วยการตั้งสติ รับรู้อารมณ์ความรู้สึกของตัวเองอยู่เสมอ รวมถึงการทำสมาธิเพื่อกำหนดลมหายใจเข้า-ออก

Shares:
QR Code :
QR Code