เบาหวานกับการนอนหลับเกี่ยวกันไฉน?

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ


ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ


'นอนไม่เต็มอิ่ม' เสี่ยงเบาหวาน thaihealth


โรคเบาหวานกับการนอนหลับ เกี่ยวกันไฉน?


การสำรวจสุขภาพประชาชนไทย ครั้งที่ 5 (พ.ศ.2557) โดย สถาบัน วิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พบความชุก ของเบาหวานในประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้นจาก 6.9% ในปี 2552 เป็น 8.9% ในปี 2557 สัดส่วนของผู้ป่วยเบาหวานไม่ทราบว่าตนเอง เป็นเบาหวาน เพิ่มขึ้นจาก 31.2% ในปี 2552 เป็น 43.1% ในปี 2557 ทั้งนี้ การเจ็บป่วยจากโรคเบาหวานจะทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่แย่ลง เนื่องจากจะมีอาการแทรกซ้อนเกิดขึ้นกับร่างกายและมีความเสี่ยงสูง ต่อการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดในสมองตีบ โรคไตวายเรื้อรัง โรคปลายประสาทตาและจอประสาทตาเสื่อม เป็นต้น


ผศ.ดร.จรวยพร ศรีศศลักษณ์ ผู้จัดการวิจัย สวรส. ชี้สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคเบาหวานคือ การที่ร่างกายเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน และภาวะการทำงานของตับอ่อนที่แย่ลง ทั้ง 2 ภาวะนี้ทำให้ร่างกายควบคุมระดับน้ำตาล ได้ไม่ปกติ นำมาสู่ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ปัจจุบันความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน โดยเฉพาะความรู้ในประเด็นใหม่ๆ ที่มีความสัมพันธ์ต่อการเกิดโรคเบาหวาน เช่น ภาวะกรดยูริกในเลือดสูง และการนอนหลับพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ เป็นความรู้ที่สำคัญและยังมีไม่เพียงพอต่อการนำไปใช้วินิจฉัยผู้ป่วย ก่อนเป็นโรคเบาหวาน (pre-diabetes) ได้


สวรส. จึงได้สนับสนุนการศึกษา เรื่องอัตราการพัฒนาไปเป็นโรคเบาหวานและการศึกษาความสัมพันธ์เกี่ยวกับปัจจัยการนอนหลับ และระดับกรดยูริกในเลือดกับระดับน้ำตาลสะสมในเลือด (HbA1c) ในผู้ที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดเริ่มสูงหรือภาวะก่อนจะเป็นเบาหวาน เพื่อทราบถึงโอกาสของการป่วยเป็นเบาหวาน ซึ่งจะเป็นแนวทางสำหรับการค้นหาผู้ป่วย หรือผู้ที่มีความเสี่ยงของโรคในระยะแรก (Early detection) เนื่องจาก โรคเบาหวาน เมื่อป่วยแล้วการรักษาจะมีความซับซ้อน ผู้ป่วยต้องเข้าพบแพทย์ อย่างต่อเนื่อง มีค่าใช้จ่ายในการดูแลสูง ฉะนั้นการป้องกันโดยการดูแลสุขภาพ เพื่อไม่ให้เกิดโรคเบาหวานเป็นวิธีการที่ดีและคุ้มค่ามากกว่าการรักษา


พญ.ธัญญรัตน์ อโนทัยสินทวี ในฐานะหัวหน้าโครงการฯ อธิบายว่า ในงานวิจัยได้เก็บตัวอย่างข้อมูลในผู้ป่วยที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง 100-125 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg/dL) ตั้งแต่เดือน ก.ย. 2558 ถึงเดือน มิ.ย. 2560 จำนวน 1,720 คน เนื่องจาก คำถามหนึ่งที่พบได้บ่อยว่า กลุ่มคนเหล่านี้ จะมีโอกาสพัฒนาไปเป็นโรคเบาหวานได้มากน้อยต่างกันอย่างไร


'นอนไม่เต็มอิ่ม' เสี่ยงเบาหวาน thaihealth


ในการศึกษาจึงได้เปรียบเทียบอัตราการพัฒนาไปเป็นโรคเบาหวาน ในผู้ที่มีค่าน้ำตาลในเลือด ระหว่าง 100-109 mg/dL กับ 110-125 mg/dL พบว่า ในระยะเวลา 2 ปี ผู้ที่มีค่าน้ำตาลในเลือด 100-109 mg/dL กับ 110-125 mg/dL มีอัตราการพัฒนาไปเป็นโรคเบาหวาน คิดเป็น 3% กับ 8% ตามลำดับ ซึ่งเป็นความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ


ดังนั้น กลุ่มเสี่ยงจะต้องตระหนักและให้ความสำคัญในการสร้างเสริม สุขภาพ เช่น การออกกำลังกาย ควบคุมอาหารหวาน มัน เค็ม ป้องกัน ไม่ให้ค่าน้ำตาลเพิ่มสูงขึ้น เพื่อเลี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานในอนาคต


ผลการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยเกี่ยวกับการนอนหลับ และระดับ HbA1C พบว่า ในคนที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ คนที่นอนดึกตื่นสาย รวมถึงคนนอนไม่เพียงพอหรือนอนต่ำกว่า 6 ชั่วโมง จะมีระดับน้ำตาลสะสมในเลือดมากกว่าคนที่เข้านอนเร็วอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากการเข้านอนผิดเวลาธรรมชาติ จะส่งผลให้ ระดับน้ำตาลในเลือดสูงตามมา


หัวหน้าโครงการฯ ยังอธิบายเพิ่มเติมว่า "การเข้านอนสายหรือเข้านอนช้า เช่น เข้านอนตี 3 ไปตื่นนอนตอน 11 โมงถึงเที่ยงวัน แม้คิดว่าได้พักผ่อน เพียงพอแล้ว แต่ก็จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่า คนที่เข้านอนเร็ว นอกจากนี้คนที่ทำงานเป็นกะ คนที่นอนไม่ต่อเนื่อง เช่น นอนหลับๆ ตื่นๆ ก็จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงด้วยเช่นกัน เนื่องจากร่างกายมนุษย์ จะทำงานสัมพันธ์กับนาฬิกาชีวภาพ หรือ Human Biological Clock ซึ่งเป็นระบบสำคัญของร่างกายในการควบคุมวงรอบการหลับ-ตื่น และควบคุม การหลั่งฮอร์โมน ตลอดจนควบคุมระดับอุณหภูมิร่างกายของแต่ละคน


ดังนั้น คนที่นอนตื่นสาย พักผ่อนไม่เพียงพอจะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่ผิดปกติไปและส่งผลต่อการทำงานของตับอ่อนที่แย่ลง ซึ่งอาจส่งผลต่อภาวะดื้อต่ออินซูลินได้ จึงแนะนำว่าควรพักผ่อนโดย เข้านอน 2-3 ทุ่ม แล้วตื่นนอนเวลา 6 โมง ให้สัมพันธ์กับนาฬิกาชีวภาพ"

Shares:
QR Code :
QR Code