เทรนด์อาหาร 2561 บอกลาเคมี สวัสดีของสด
ที่มา : กองทรัพย์ โพสต์ ทูเดย์
แฟ้มภาพ
เทรนด์อาหารไม่ต่างกับกระแสแฟชั่น มักมีการเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละปี โดยเทรนด์เหล่านี้มักเปลี่ยนแปลงไปตามพฤติกรรมผู้บริโภค ซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมากลุ่มผู้บริโภคมีความใส่ใจและหันมาดูแลสุขภาพมากยิ่งขึ้น
ดังนั้น เทรนด์อาหารในระยะหลังๆ จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ทั้งผู้ประกอบการร้านอาหาร หน่วยงานสถาบันการศึกษา ที่มีการปรับทุกกระบวนท่าให้เท่าทันกับกระแสความนิยม
ในปี 2561 การคาดการณ์เทรนด์อาหารในส่วนของผู้บริโภค พบว่าแนวโน้มจะนิยมอาหารสดใหม่จากธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง ส่วนกลุ่มธุรกิจร้านอาหารจากธรรมชาติและอาหารออร์แกนิกได้ประสบความสำเร็จทางด้านอาหารเพื่อสุขภาพมากและเติบโตได้ดี
ประเภทอาหารในกลุ่มนี้รวมถึงอาหารออร์แกนิก ผลิตภัณฑ์อาหารปราศจาก กลูเตนและแล็กโทส รวมทั้งอาหารที่มีสัดส่วนของน้ำตาลและไขมันต่ำ จึงเป็นสาเหตุทำให้ธุรกิจประเภทนี้มีหลายคนให้ความสนใจที่จะประกอบกิจการกันเพิ่มมากขึ้นบ๊ายบายเคมี ของดีต้องสด
เพราะในปัจจุบันผู้บริโภคไม่กลัวที่จะต้องจ่ายเงินให้กับผลิตภัณฑ์คุณภาพดีอีกต่อไป โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีรายได้ระดับกลางขึ้นไปจะพิจารณาซื้อสินค้าจากคุณภาพมากกว่าราคา บทพิสูจน์ที่ยืนยันว่าผู้บริโภคยุคใหม่ต้องการสินค้าที่สดใหม่จากธรรมชาติที่ไม่ปรุงแต่ง
มาจากผลการสำรวจที่ระบุว่า ผู้บริโภคกว่า 89% ต้องการซื้ออาหารและเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพ, 84% ชื่นชอบอาหารที่หาซื้อได้ในท้องถิ่น เพราะเชื่อเรื่องความสด, 84% ต้องการอาหารที่ไม่มีสารเคมี, 82% ชื่นชอบฉลาก Clean Label ซึ่งสินค้าอาหาร Clean Label คือ สินค้าที่ผลิตจากวัตถุดิบจากธรรมชาติ โดยไม่ใช้สารเคมีสังเคราะห์ เช่น สารแต่งสี กลิ่น รสเป็นส่วนประกอบ
ขณะที่อาหารออร์แกนิกเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การตัดสินใจซื้ออาหารที่มีกระบวนการผลิตอย่างยั่งยืนข้างต้น ทำให้ในอนาคตผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่จะออกมาในช่วงนี้ จะมุ่งไปยังการนำส่วนผสมจากพืชพรรณธรรมชาติมาใช้ เช่น โปรตีนจากพืช สีผสมอาหารจากพืชผักผลไม้ ที่ให้ทั้งสีสัน คุณค่าอาหารที่จะช่วยดูแลสุขภาพอย่าง ขมิ้นชัน มะพร้าว ผักผลไม้สีม่วง สาหร่าย เห็ด และสมุนไพรต่างๆ ก็เป็นกระแสที่น่าจับตามองเช่นกัน
หนึ่งในสถาบันการศึกษาที่มองเห็นโอกาสจากแนวโน้มดังกล่าว การผลักดันหลักสูตรวิชาการประกอบการที่ขับเคลื่อนโดยนวัตกรรม เป็นหนึ่งหนทางที่จะสร้างผู้ประกอบการรุ่นใหม่จากไอเดียและการค้นหาปัญหาจากพื้นที่ และการมองถึง เทรนด์ของธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพ ทำให้เกิดโปรเจกต์การรวมตัวของนักศึกษาวิทยาลัยผู้ประกอบการ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พุฒิพงษ์ ศิรประภาพงศ์ นักศึกษาวิทยาลัยผู้ประกอบการ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่นำเอาปัญหาใกล้ตัวมา สร้างสรรค์ตามหลักแนวคิด Think Big, Act Small คือ การพัฒนาเครื่องปรุงสำหรับการทำอาหารคลีน เล่าถึงที่มาของโครงการ Clean Ketchup ว่า
"เกิดจากการลงพื้นที่ย่านห้วยขวาง ทำให้พบว่าห้วยขวางมีร้านอาหารคลีน อยู่เยอะ แต่อาหารคลีนในท้องตลาดส่วนมากที่เราสำรวจจะพบว่า รสชาติจืด ไม่กลมกล่อม เพราะต้องควบคุมเรื่องแคลอรี ปริมาณน้ำตาล ไขมันในการปรุงรส จึงมาคิดว่า ถ้าเราทำอาหารคลีนที่มีรสชาติอร่อย แต่ว่ายังมีความคลีนอยู่จะเป็นอย่างไร ในกลุ่มของเราก็มีเพื่อนที่เรียนวิทยาศาสตร์การอาหารด้วย เราก็คิดว่าเราสามารถนำไปพัฒนากันได้
จึงมามองที่ 'เครื่องปรุง' ถ้าเราทำเครื่องปรุงคลีน เราจะได้เข้าไปในตลาดอาหารคลีนโดยที่ไม่ต้องแย่งส่วนแบ่งตลาด และสามารถเข้าถึงได้หมด ไม่ใช่แค่ร้านอาหาร จึงทำการศึกษาถึงส่วนประกอบว่าอะไรที่จะทำให้เครื่องปรุงรสชาติดีแต่ยังคลีนได้ เช่น หาสารที่แทนน้ำตาลแต่แคลอรีต่ำ สิ่งที่ให้รสเค็มแต่โซเดียมน้อย แล้วเราก็พยายามพัฒนาออกมาเป็นเครื่องปรุง" พุฒิพงษ์ กล่าว และต้องติดตามว่า (ว่าที่) ผู้ประกอบการรุ่นใหม่จะสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์แบบไหนมาตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคต่อไปน้ำตาลยังจำเป็นไหม?
อย่างที่ทราบกันว่าอาหารประเภทแป้ง หรืออาหารที่มีน้ำตาลเป็นส่วนผสมในปริมาณสูง แน่นอนว่าอันตรายต่อสุขภาพของคุณแน่นอน และเป็นสองอย่างที่คนรักสุขภาพพยายามหลีกเลี่ยง แต่มักหักห้ามใจไม่อยู่ โดยเฉพาะสาวๆ ที่แม้จะรักสุขภาพมากแค่ไหน ชีวิตก็ไม่เคยขาดขนมหวาน ซึ่งแป้งและน้ำตาลดันเป็นพระนางในขนมหรือของทานเล่นเสียด้วยนี่สิ
ดังนั้น หนึ่งแนวโน้มที่เริ่มก่อตัวเมื่อปีก่อน แต่เริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่างและได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ก็คือ กระแสลดความหวาน และสารทดแทนความหวานจากธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นหญ้าหวาน เดกซ์โทรส หรืออื่นๆ ซึ่งยังจะเป็นที่นิยมอย่างแน่นอน
แม้น้ำตาลเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับสุขภาพที่ดี แต่ส่วนใหญ่แล้วผู้บริโภคยังคงต้องการรสชาติแสนอร่อยที่คุ้นเคย สมดุลแห่งความหวานกับสุขภาพจึงยังเป็นประเด็นสำคัญที่อุตสาหกรรมอาหารให้ความใส่ใจ ในปีนี้เราจะเห็นขนมที่เป็นมิตรกับสุขภาพ จะได้รับความนิยมเป็นของฝากและจะมีมากในเมนูร้านอาหาร
สังเกตจากปัจจุบันขนมประเภทธัญพืช หรืออาหารว่างเพื่อสุขภาพอย่าง มันหวาน มันม่วง อบกรอบหรือย่าง โดยไม่ผ่านกรรมวิถีแบบใช้น้ำมัน และผลไม้อบแห้งต่างๆ กำลังเป็นที่นิยม เหมาะสำหรับคนชอบกินขนมจุกจิก แต่ก็ยังกังวลเรื่องน้ำหนัก
ล่าสุด สมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จัดทำโครงการ "ส่งเสริมการผลิตและบริโภคผลิตภัณฑ์อาหารโอท็อปเพื่อสุขภาพ" ภายใต้การสนับสนุนจาก สสส. มุ่งเน้นการให้ความรู้และจุดประกายผู้ประกอบการโอท็อปธุรกิจอาหารและขนม ลดหรือเปลี่ยนมาใช้สารให้ความหวานจากน้ำตาลธรรมชาติ อาทิ หญ้าหวาน แทนน้ำตาลจากอ้อย
เพลินพิศ หาญเจริญวนะภูษิต นักโภชนาการจากสมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทยฯ ในฐานะผู้จัดการโครงการ กล่าวว่า นำร่องกับผู้ประกอบการขนาดเล็กในพื้นที่รอบกรุงเทพฯ สระบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี นครปฐม สมุทรสงคราม อ่างทอง สุพรรณบุรี ซึ่งข้อดีของกลุ่มสินค้าสินค้าโอท็อปที่ปรับลดสูตรลดน้ำตาลหรือความหวานได้ง่ายกว่า เมื่อเทียบกับบริษัทในระบบอุตสาหกรรมขนาดใหญ่
"ส่วนใหญ่ขนมไทยมีส่วนผสมที่เป็นน้ำมันและน้ำตาลในสัดส่วนปริมาณมาก เน้นรสชาติหวานจัด มีขนมบางอย่างที่ลดน้ำตาลลงแล้วไม่สูญเสียเอกลักษณ์ของขนมไทย เช่น กระยาสารท แต่ปัญหาคือขนมไทยหรืออาหารบางตัวลดสูตรไม่ได้ ทางโครงการจึงเกิดไอเดียใช้สารทดแทนความหวานจากธรรมชาติแทน ซึ่งนอกจากหญ้าหวานแล้ว ล่าสุด วิทยาลัยอาชีวศึกษาสระบุรีกำลังทดลองใช้หล่อฮั่งก้วยมาแทนน้ำตาลในน้ำพริกเผา ซึ่งสามารถลดน้ำตาลได้ 30% รวมทั้งร้านขายสาลี่ใน จ.สุพรรณบุรี ก็กำลังทดลองปรับปรุงสูตรใช้หล่อฮั่งก้วยผสมในขนมสาลี่เพื่อลดปริมาณน้ำตาล รวมถึงการปรับสูตรทองม้วนให้ใช้ ฟักทอง แครอต มาผสมในแป้ง เพราะผักเหล่านี้มีความหวานอยู่ในธรรมชาติ"
ร้าน "ริน ขนมไทย" อีกหนึ่งร้านจำหน่ายของฝากชื่อดังจากเมืองแปดริ้ว จ.ฉะเชิงเทรา สินค้าขึ้นชื่อคือกระยาสารทน้ำอ้อย หลังเข้าร่วมโครงการจึงได้ปรับสูตรใหม่ โดยลดน้ำตาลลง 25% ปรากฏว่าผู้บริโภคให้ความสนใจมากกว่าที่คาด
"ผลตอบรับลูกค้ารู้สึกว่าชอบ โดยส่วนใหญ่เป็นลูกค้านิยมทานอยู่แล้ว แต่ว่าบางคนคุณหมอสั่งห้ามเพราะติดเรื่องสุขภาพ พอมาเจอตัวปรับน้ำตาลให้น้อยลง ทำให้เขารับประทานได้" ผู้ดูแลร้านริน บอก
นอกจากกระยาสารทแล้ว ล่าสุดร้านรินได้ทำฝอยทองสูตรผสมหญ้าหวานโดยลดน้ำตาลไป 50% เสียงตอบรับลูกค้าดีเพราะมีตัวอย่างสูตรผสมหญ้าหวานกับน้ำตาลธรรมดาให้ลูกค้าชิม และสามารถเก็บไว้นานได้ 2 สัปดาห์ในตู้เย็นเช่นเดียวกับสูตรเดิม
ทั้งหมดเป็นเพียงเทรนด์ใหญ่ๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น หรือเพิ่มกระแสความนิยมมากขึ้นในปี 2561 สิ่งสำคัญสำหรับผู้บริโภครายย่อยต้องให้ความใส่ใจก็คือการพิจารณาฉลากบริโภคที่นอกจากทำให้เห็นราคา ยังทำหน้าที่หลักคือบอกช่วงเวลาที่เหมาะสมของอาหาร วันหมดอายุ ส่วนประกอบ และคุณค่าทางโภชนาการ นอกจากนี้ การเลือกซื้อวัตถุดิบสำหรับประกอบอาหารก็ต้องเลือกจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ