เตือน “เมา-ขับ” จับคุมประพฤติ

หวังลดสถิติอุบัติเหตุสงกรานต์

 

เตือน “เมา-ขับ” จับคุมประพฤติ 

          กรมคุมประพฤติเตือนสติผู้นั่งหลังพวงมาลัย ถึงไม่ห้ามขายเหล้าช่วงสงกรานต์ แต่ถ้าเมาแล้วขับ ไม่ใช่แค่ปรับ แต่ถูกจับคุมประพฤติ ทำงานบริการสังคม เพื่อสร้างจิตสำนึกที่ดีมิให้กลับไปทำผิดซ้ำ

 

          หลายฝ่ายได้ออกมาแสดงความกังวลใจว่า สถิติการเกิดอุบัติเหตุจราจรบนท้องถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้  โดยเฉพาะกรณีเมาแล้วขับจะพุ่งสูง ภายหลังคณะกรรมการนโยบายแอลกอฮอล์ชาติ มีมติไม่ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเทศกาล ขณะที่กรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม ได้ออกคำเตือนว่า การขับขี่ระหว่างเมาสุรา ไม่เพียงแต่จะถูกปรับเท่านั้น แต่ศาลจะกำหนดเงื่อนไขให้ผู้กระทำผิด ต้องทำงานบริการสังคม และเข้าอบรมในหลักสูตรปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ภายใต้การดูแลของพนักงานคุมประพฤติอีกด้วย

 

          กิจกรรมที่เหมาะสมในการจัดให้ผู้กระทำผิดคดีจราจรทำงานบริการสังคม มีดังนี้

 

          1. ทำความสะอาดพื้นผิวถนน หรือบริเวณทางเท้า

 

          2. ทำความสะอาดป้ายเครื่องหมายจราจร

 

          3. ทาสีขอบทางจราจร 

 

          4. ทาสีเครื่องหมายจราจร 

 

          5. เป็นอาสาบริการจราจร (พาคนข้ามถนน)

 

          6. เป็นอาสาจราจร (ต้องผ่านการอบรม) 

 

          7. บริจาคโลหิต 

 

          8. ดูแลผู้ป่วย/ผู้พิการที่ได้รับผลจากการเกิดอุบัติเหตุจราจร 

 

          9. ช่วยเหลืองานของมูลนิธิการกุศลต่างๆ  เช่น  มูลนิธิเมาไม่ขับ  องค์กรคุ้มครองเหยื่อ เป็นต้น 

 

          10. ดูแลสวนหย่อม หรือต้นไม้ บริเวณเกาะกลางถนน และบริเวณริมทาง เป็นต้น

 

          วัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมบริการสังคม  ก็เพื่อสร้างจิตสำนึกให้เกิดความรับผิดชอบต่อผู้อื่นและสังคม ชดใช้หรือทดแทนความเสียหายที่ก่อขึ้น เป็นการบำเพ็ญประโยชน์ให้แก่ชุมชนและสังคม เพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจ และสร้างภาพพจน์ที่ดีสำหรับตนเอง และให้สังคมเกิดการยอมรับ

 

          โดยการบริการสังคมดังกล่าว ปัจจุบันคดีที่ศาลสั่งคุมความประพฤติ ส่วนใหญ่จะมีระยะเวลาการคุมประพฤติ 1 ปี และชั่วโมงการทำงานบริการสังคมอยู่ระหว่าง 10 – 72 ชั่วโมง ทั้งนี้ พบว่าผู้กระทำผิดในคดีนี้ที่ผ่านการทำงานบริการสังคม  มีความตระหนักรู้รับผิดต่อตนเอง สังคม มากกว่าร้อยละ 90 และสถิติการทำผิดซ้ำโดยเฉลี่ยมีไม่ถึงร้อยละ 20

 

          สถิติผู้ที่เมาแล้วขับ พบว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเทศกาล โดยเทศกาลปีใหม่ 2551  มีจำนวน  3,047  ราย กรุงเทพฯ สูงสุด 348 ราย รองลงมาคือ จังหวัดนครราชสีมา 332 ราย ขณะที่ช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา มีจำนวน 3,604 ราย ซึ่งกรุงเทพฯ ก็มียอดคดีสูงสุดอีกเช่นกัน จำนวน 716 ราย รองลงมาเป็นจังหวัดสุรินทร์ 602 ราย

 

          สำหรับกฎหมายที่นำมาใช้กับผู้ที่เมาแล้วขับ  คือ  พระราชบัญญัติจราจรทางบก  มาตรา 43 (2) ห้ามมิให้ผู้ขับขี่ขับรถในขณะเมาสุรา หรือของเมาอย่างอื่น

 

          มาตรา  106 ตรี ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 43 (2) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000 – 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้น มีกำหนดไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

 

          ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง  เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่  1 – 5  ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 – 100,000 บาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้น มีกำหนดไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

 

          ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง  เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส  ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่  2 – 6  ปี และปรับตั้งแต่ 40,000 – 120,000 บาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้น มีกำหนดไม่น้อยกว่า 2 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

 

          ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง  เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย  ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 – 10 ปี และปรับตั้งแต่ 60,000 – 200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

 

          ในประเทศไทยได้กำหนดมาตรการในการตรวจจับผู้ขับขี่ที่เมาสุรา  โดยถือเอาระดับแอลกอฮอล์ในเลือดที่เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ เป็นผู้ขับขี่ที่เมาสุรา

 

 

 

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

 

 

update 03-04-52

Shares:
QR Code :
QR Code