เตือนเพราะรัก ทักเพราะห่วงใย บุหรี่ไฟฟ้า ทำร้ายสุขภาพผู้สูบ ทำลายสุขภาพผู้อื่น by โดม จารุวัฒน์
ปัจจุบันสังคมไทยกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาของบุหรี่ไฟฟ้าอย่างหนัก พร้อมกับความเชื่อที่ผิดจนเกิดเป็นการรับข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง รวมถึงมีเด็กและเยาวชนเข้ามายุ่งเกี่ยวกับสิ่งผิดกฏหมายที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพในหลายด้านมากกว่าแค่ปอดในการสูดควันของบุหรี่ไฟฟ้า และควันจากบุหรี่มือสองยังส่งผลกับผู้อื่น
ที่ผ่านจะเห็นความเคลื่อนไหวซึ่งเป็นกระบอกเสียงที่ชัดเจนจากผู้ได้รับผลกระทบของ “ควันบุหรี่มือสอง” โดยตรงอย่าง “ศิลปิน” ที่มีชื่อเสียงในสังคม ที่ออกมาเรียกร้องและพูดถึงปัญหาสุขภาพจากการได้รับควันของบุหรี่ไฟฟ้าที่ส่งผลต่อการทำงานอย่างมาก ซึ่ง “โดม จารุวัฒน์ เชี่ยวอร่าม” ศิลปินและผู้บริหารค่ายเพลง เป็นอีกหนึ่งคนที่มีประสบการณ์ตรงจากบุหรี่ไฟฟ้าของคนรอบข้าง รวมถึงมีมาตรการในการคุมเข้มทีมงานเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าที่เข้มงวด พร้อมฝากมุมมองให้ได้คิดตาม ในวันวาเลนไทน์หรือวันแห่งความรัก ถึงการรักตัวเองและห่วงใยผู้อื่น
บุหรี่ไฟฟ้า มีผลกระทบอย่างไรต่อศิลปิน
ควันจากบุหรี่ไฟฟ้าเป็นเหมือนสิ่งอันตรายของศิลปิน ไม่ใช่แค่ได้รับควันที่ส่งผลกับสุขภาพ แต่อาจจะมีผลกระทบกับงานอย่างคาดไม่ถึง ด้วยเส้นเสียงของศิลปินเป็นสิ่งที่มีค่า ต้องถนอมและดูแลด้วยความรักเพื่อรักษาเส้นเสียงที่ถือเป็นเครื่องมือในการทำงานไม่ให้พัง โดยโดมเผยว่า “สำหรับนักร้อง เครื่องดนตรีของเรา คือ ร่างกาย เพราะฉะนั้น ถ้ามันพัง แปลว่า ต้องซ่อม และถ้าซ่อม แปลว่า ทํางานไม่ได้จะกลายเป็นเรื่อง ใหญ่ บางคนไม่ได้ซ่อมแค่แป๊ปเดียวแล้วหาย อาจจะใช้เวลาซ่อมยาว เราเห็นจากการที่นักร้องหลาย ๆ คน ต้องยกเลิกงานเพราะว่าไปเล่นแล้วเจอบุหรี่มือสอง ในสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้เพราะว่าเป็นสถานที่ที่ต้องไปทํางาน สำหรับนักร้องเมื่อสูดลมหายหายใจเพื่อจะร้องเพลง บางทีควันเข้าไปปุ๊บแล้วมันทําลาย ทำให้ร้องเพลงไม่ได้ ทํางานไม่ได้ ผมเลยรู้สึกว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่มันน่ากลัวมาก”
กล้าพูดเพื่อปกป้องสุขภาพของตัวเอง
โดมเป็นคนที่รักและดูแลสุขภาพตัวเอง เพราะรู้ซึ้งดีว่าหากร่างกายเกิดอาการป่วยจำเป็นต้องใช้เวลาในการฟื้นฟู การรักและดูแลร่างกายตัวเองตั้งแต่ตอนนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ ยิ่งอายุมากขึ้น จึงใส่ใจเรื่องสุขภาพมากเป็นพิเศษทั้ง การทานอาหาร การออกกำลังกาย การพักผ่อน และเลี่ยงจากสิ่งที่มีความเสี่ยง แต่ด้วยปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ การออกไปทำงานหรือใช้ชีวิตประจำวันต้องพบเจอคนที่หลากหลาย จึงมีหลายอย่างที่ไม่อาจเลี่ยงได้ เช่น เจอคนสูบบุหรี่ไฟฟ้าที่เรียกได้ว่าเป็นอีกมลพิษหนึ่ง ซึ่งโดมมีประสบการณ์ตรง โดยคนรอบข้างที่สูบบุหรี่ไฟฟ้า และกลายเป็นตัวเองต้องได้รับควันบุหรี่มือสองไปโดยปริยาย เมื่อเจอสิ่งที่มีผลกระทบต่อสุขภาพตัวเอง จึงเลือกที่จะพูดตรง ๆ เพื่อให้ผู้สูบได้เข้าใจ ภายใต้การพูดตรง พูดเตือนนั้น เต็มไปด้วยเจตนาดีในความรักที่มีให้คนรอบข้าง
“เมื่อผมเจอก็เลือกที่จะพูดเลย แต่ไม่ได้พูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว จะเลือกพูดในมุมว่าขอความร่วมมือ อย่างการบอกคนรอบข้างที่สูบว่าบุหรี่ไฟฟ้าว่าอันตราย ทั้งต่อตัวคุณเองด้วยและอันตรายต่อคนรอบข้างด้วย ก็ยอมรับเคยมีเสียงสะท้อนกลับมาในมุมมองที่ต่างกัน เราก็จะไปหาข้อมูลหรือหลักวิชาการ เพื่อบอกเขาอีกครั้งพร้อมอธิบายให้ฟัง ซึ่งผมว่าพอเขาได้อ่านแล้ว ถ้าเขาเป็นคนที่เปิดใจหรือฟังในสิ่งที่เราบอก และเขาปรับเปลี่ยนได้ คนที่สูบจะเข้าใจว่าสิ่งนี้ทําให้คนอื่นอันตราย ผมว่าเขาอาจจะเลือกที่จะระวังมากขึ้นและไม่ใช่ระวังแค่กับตัวเรา เขาจะไประวังกับคนอื่น ๆ ด้วย เลยเลือกใช้วิธีพูดตรง ๆ ผมว่าเขาจะเข้าใจ ซึ่งถึงเราจะระวังตัวเต็มที่ในการดูแลตัวเอง เรื่องที่รู้ว่าอันตรายก็จะพยายามเลี่ยง แต่ว่าบางอย่างเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถจะดีลได้ เพราะมาจากคนรอบข้าง ก็เป็นสิ่งที่เรารู้สึกว่าเป็นภัยเงียบ”
ทำร้ายสุขภาพผู้สูบ ทำลายสุขภาพผู้อื่น
เมื่อปัจจุบันเราต้องเผชิญกับมลพิษต่าง ๆ มากมายที่ไม่อาจเลี่ยง ทำให้มีผลต่อการใช้ชีวิตแล้ว หากในการใช้ชีวิตประจำวันต้องเจอผู้สูบบุหรี่ และได้รับควันบุหรี่มือสองอีกนั้น ก็ยิ่งทำให้ใช้ชีวิตยากขึ้น โดมจึงอยากให้ผู้สูบได้ตระหนักถึงภัยของบุหรี่ที่อันตรายกับตัวเองและคนรอบข้าง เพื่อหันกลับมาใส่ใจกันและกันเมื่อต้องอยู่ร่วมกันในสังคม
“สําหรับผมควันบุหรี่มือสองจากบุหรี่ไฟฟ้า อาจจะโชคดีที่ในระยะสั้นผมไม่ได้มีอาการที่แสดงออกมา แต่ผมไม่รู้ว่าในอนาคต ระยะยาวเมื่อผ่านไป 5 – 10 ปี การได้รับควันบุหรี่มือสอง ปอดเราที่ได้รับสิ่งนี้มาเคยเจอสิ่งนี้มาแล้ว จะมีผลกระทบอย่างไร ทุกวันนี้เดินออกไปข้างนอกอากาศในการหายใจก็ลําบากแล้ว เราก็เหนื่อยแล้ว แต่ถ้ามีปัจจัยอื่น ๆ ที่เพิ่มความเสี่ยงอีก ผมว่าจะทําให้เราไม่สนุกกับการใช้ชีวิตเท่าไหร่ เราต้องคอยนั่งระวัง”
อีกหนึ่งข้อสำคัญที่โดมได้กล่าวไว้ ในการอยู่ในสังคมเดียวกัน ด้วยการ “ขอ” สิ่งนี้นอกจากจะเพื่อสุขภาพของตัวเองแล้ว ยังมีความห่วงใยถึงผู้สูบด้วย ซึ่งทั้งหมดแฝงไปด้วยความรักและหวังดี หากมีการเปลี่ยนแปลงก็ถือเป็นผลดีที่เกิดจากการได้พูดคุยกันตรง ๆ “เชื่อว่าทุกคนมีสิทธิ์เป็นของตัวเองอยู่แล้ว แต่ว่าสิทธิ์ในการดูแลร่างกายของเรา ก็ควรจะเป็นสิทธิ์ที่เราสามารถพูดได้ เป็นสิทธิ์ที่เราสามารถเรียกร้องได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นคิดว่า การเรียกร้องครั้งนี้เป็นการขอ อย่างที่บอกว่าไม่ใช่คนสูบบุหรี่จะเลิกทํากับเราอย่างเดียว ในการพูดคุยในแต่ละครั้ง แต่อาจจะทําให้เขาคิดขึ้นมาได้ และระวังมากขึ้นกับคนอื่นด้วย”
นอกจากการพยายามหลีกเลี่ยงจากควันบุหรี่มือสองที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ ในบทบาทการเป็นผู้บริหารค่ายเพลง ที่มีศิลปิน รวมถึงทีมงานในค่ายที่ต้องดูแล โดมเผยว่า เรื่องสิ่งผิดกฏหมาย เช่น บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งที่ค่ายให้ความสำคัญและย้ำเตือนตั้งแต่วันแรกที่ต้องทำงานด้วยกันว่า ไม่อนุญาตให้ยุ่งเกี่ยว เพื่อสร้างความเข้าใจและเป็นมาตรการที่เข้มงวดของบริษัท ซึ่งแม้ว่าในการที่ศิลปินและทีมงานจะต้องพบเจอกับผู้คนมากมาย ที่ไม่อาจทราบได้ว่าจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ใดบ้าง จะต้องมีการปรับตัวและรับมือในรูปแบบต่าง ๆ อย่างเหมาะสม