เตรียม ท้องถิ่น รับมือ โลกร้อน
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทั่วโลกทั้งยุโรป สหรัฐอเมริกา ต่างเผชิญกับพายุหิมะที่ผิดปกติ ขณะที่ประเทศไทยฝนตกหนัก อากาศเย็นจัดในฤดูร้อน สัญญาณจากธรรมชาติเริ่มเตือนให้เตรียมความพร้อมเพื่อรับมือ
ดร.ธีรภัทร ประยูรสิทธิ รองประธานกรรมการปฏิรูปด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม กล่าวถึง สภาพธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไป ในงานเวทีสานพลังชุมชนท้องถิ่นเข้มแข็งสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนครั้งที่ 2 ประจำปี 2561 โดยสำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน สสส. ระบุว่า สภาพทรัพยากรที่เสื่อมโทรมคือปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาโลกร้อนจนทำให้เกิดความแปรปรวนเกิดขึ้น ซึ่งหากไม่มีการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือในเรื่องเหล่านี้อาจจะต้องเผชิญปัญหาหนักหน่วงมากขึ้น
การทำลายทรัพยากรยังคงเกิดขึ้น โดยการตัดไม้ทำลายป่าและการบุกรุกยังมีอยู่อย่างต่อเนื่องแม้ว่าจะปิดสัมปทานป่าไม้มานานแล้วก็ตาม โดยผู้บุกรุกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มคือกลุ่มคนรวยที่ต้องการที่ดินมาเพื่อท่องเที่ยวทำรีสอร์ท และกลุ่มคนจนชายป่าที่ไม่มีทางเลือกต้องการที่ดินทำกิน เช่นเดียวกับ การล่าสัตว์ป่ายังคงเกิดขึ้น ในกลุ่มคนรวยที่ต้องการล่าเพื่อความสนุก ไม่ใช่การเข้าไปหาสัตว์ป่าเพื่อกินเพื่ออยู่เหมือนชาวบ้านชายป่า
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรปี 2560 จึงบัญญัติให้มีการปฏิรูปทรัพยากรเพื่อสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้น โดย คณะกรรมการปฏิรูปด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม จึงวางแผนปฏิรูปทรัพยากรทั้งในเรื่องของการจัดการป่าไม้ อากาศ น้ำ เพื่อทำให้เกิดความมั่นคงทางอาหารและสร้างความยั่งยืน
"อนาคตหลังจากที่แผนปฏิรูปทรัพยากรธรรมชาติแล้วเสร็จ สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือพื้นที่ป่าไม้ 102 ล้านไร่ หรือร้อยละ 32 จะต้องยังรักษาเอาไว้ไม่ให้ลดลงเพื่อให้ทุกคนได้ใช้ประโยชน์ นอกจากนี้จะต้องฟื้นฟูให้เพิ่มมากขึ้น"
แผนปฏิรูปการจัดการทรัพยากรจะไม่ประสบความสำเร็จหากชุมชนท้องถิ่นไม่ให้ความร่วมมือ ดร.ธีรภัทร อธิบายว่า จากเดิมที่เคยทำหน้าที่เป็นผู้ถือกฎหมายและจับกุมชาวบ้านทำผิด ตอนนี้เห็นว่า ความร่วมมือกับชุมชนท้องถิ่นใน การปกป้องทรัพยากรคือหัวใจจะรักษาพื้นที่ป่าไม้เอาไว้
ท้องถิ่นต้องพร้อมรับมือปัญหาโลกร้อนและรักษาทรัพยากร เป็นความเห็นที่ ผรศ.ดร.เสวียน เปรมประสิทธิ์ คณะเกษตรศาสตร์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยนเรศวร เตือนหลังจากที่พบว่า มีข้อมูลที่บ่งบอกว่า โลกกำลังเปลี่ยนแปลงขณะที่มนุษย์ยังไม่มีข้อมูลที่จะวิเคราะห์ปัญหาได้เท่าทัน
"ปัญหาที่เกิดจากโลกร้อนมีขึ้นแน่นอนแต่จะเกิดอะไรขึ้นบ้างไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้ เพราะประวัติศาสตร์มนุษย์เกิดขึ้นมาเพียง 450 ปี แต่โลกเกิดขึ้นมาแล้วกว่า 4,600 ปี มนุษย์เริ่มศึกษาข้อมูลเมื่อ 150 ปี ส่วนประเทศไทยเริ่มมีข้อมูลเรื่องของธรรมชาติเพียง 60 ปี เราจึงไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง"
รศ.ดร.เสวียน มองว่า สิ่งที่ต้องทำคือท้องถิ่น โดยเฉพาะองค์การบริหารปกครองส่วนท้องถิ่นจะต้องเตรียมพร้อมในเรื่องของการสื่อสารกับชุมชน มีการป้องกันเมื่อเกิดปัญหาภัยพิบัติขณะเดียวกันจะต้องเตรียมศึกษาข้อมูลเรื่องของการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติเฉพาะพื้นที่ของตัวเองเอาไว้เพื่อให้สามารถวางแผนในการป้องกันได้
ชุมชนท้องถิ่นคือหัวใจ การรักษาทรัพยากรและความพร้อมในการรับโลกร้อนโดยพบว่าหลายชุมชนเริ่มตื่นตัวลุกขึ้นมาจัดการทรัพยากรของพื้นที่ตัวเองให้กลายเป็นแหล่งอาหารแหล่งน้ำสะอาดสำหรับคนในชุมชนเอง
รัฐวุฒิชัย ใจกล้า นายกองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านตุ่น อ.เมือง จ.พะเยา บอกว่า ชุมชนบ้านตุ่นเริ่มตระหนักถึงปัญหาการทำลายทรัพยากรจากเดิมที่เคยเป็นคนตัดไม้ทำลายป่า ตอนนี้เริ่มหันมารักษาป่าไม้ โดยเฉพาะป่าต้นน้ำ เนื่องจากเป็นแหล่งเก็บน้ำให้กับชุมชนใช้อุปโภค บริโภค และทำการเกษตร
การจัดการน้ำของชุมชนบ้านตุ่น ใช้ระบบคณะกรรมการใช้น้ำจากทุกหมู่บ้านมาร่วมกันเป็นตัวแทนในการจัดสรรและ ใช้น้ำ หลังจากที่เคยขาดแคลนเมื่อ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานอ่างเก็บน้ำทำให้มีน้ำใช้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะเมื่อชุมชนร่วมกันรักษาป่าต้นน้ำไม่ตัดทำลายร่วมกัน
"เราใช้หลักธรรมภิบาลในการบริหารจัดการทรัพยากรโดยให้ชุมชนและกลุ่มผู้ใช้น้ำมาร่วมกันเป็นคณะกรรมการในการจัดการ ประปาภูเขา รวมไปถึง ทุกกลุ่มต้องร่วมกันในการรักษาพื้นที่ ป่าไม้"
สิ่งที่ชุมชนบ้านตุ่นบอกต่อกันเสมอ คือการที่มีน้ำใช้เพียงพอไม่ขาดแคลนเพราะป่าต้นน้ำยังอุดมสมบูรณ์ ถ้าไม่อยากขาดน้ำก็ต้องช่วยกันดูแลรักษาป่า
เช่นเดียวกับที่ ต.พิมาน อ.นาแก จ.นครพนม บัญชา ศรีชาหลวง องค์การบริหารส่วนตำบลพิมาน อ.นาแก เล่าว่า การบริหารจัดการทรัพยากรของพื้นที่จะเน้นการมีส่วนร่วมโดยมีคณะทำงานที่บูรณาการร่วมกันระหว่าหน่วยงานราชการ ชุมชนมาพูดคุยในการรักษา พื้นที่ป่า เพราะป่าที่ชุมชนรักษาไว้เหมือนเป็นครัวที่ช่วยสร้างรายได้และเป็นแหล่งอาหารของชุมชน
"ป่าไม้ของเราสามารถเข้าไปหาอาหารและของป่าได้ตลอด12 เดือน เป็นเหมือนครัวของชาวบ้าน แต่ต้องมีกติการ่วมกันในการใช้ประโยชน์จากป่า"
ตำบลพิมาน บริหารจัดการพื้นที่โดยใช้ธรรมนูญสุขภาวะที่ชุมชนร่วมกันกำหนดโดยในใช้เป็นเครื่องมือบริหาร งบประมาณและแก้ปัญหาที่ตรงกับ ความต้องการของชาวชุมชน โดยเฉพาะในเรื่องการจัดทรัพยากรทำให้ไม่เกิดปัญหาความขัดแย้งขึ้น
สำหรับสถานการณ์จัดการระบบนิเวศชุมชนของเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ กิตติพงษ์ ชัยมนัสกุล ผู้จัดการศูนย์พัฒนาชุมชนท้องถิ่นเพื่อการจัดการสิ่งแวดล้อมและรณรงค์ บอกว่า หลังการพัฒนาเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ที่มีตำบลเครือข่าย 2,035 ตำบล พบว่า มีชุมชนที่เข้าถึงน้ำและการจัดการน้ำและเข้าถึงน้ำสะอาด และมีการจัดการมลพิษในระดับครัวเรือนและมีครัวเรือนที่เข้าร่วมกันจัดการป่าอนุรักษ์และกิจกรรมสิ่งแวดล้อมกว่า 1.5 ล้านครัวเรือน โดยเฉพาะครอบครัวทำแนวป่าป้องกันไฟป่าก็มีอยู่ราว 10,900 ครัวเรือน
การตื่นตัวของชุมชนท้องถิ่นเพื่อเข้าร่วมการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จึงถือเป็นหัวใจในการเตรียมพร้อมรับมือกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปโดยเฉพาะภัยธรรมชาติจากปัญหาโลกร้อน