เด็กไทยเครียด ฆ่าตัวตายเพิ่ม
ตะลึง!หาเสียงประธานถึงขู่เผาโรงเรียน
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยโครงการ child watch นำเสนอผลงานวิจัยและแนวทางการขับเคลื่อนโครงการ child watch : กรุงเทพฯ และปริมณฑล เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. นายสมพงษ์ จิตระดับผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมเด็กด้อยโอกาสคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หัวหน้านักวิจัยทีมภาค กรุงเทพฯ ปริมณฑล กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2548 มองเห็น
การทำงานเกี่ยวกับเด็กและเยาวชนดังนี้1.ปี 2553 จะเห็นการขับเคลื่อนสังคมด้วยพลังเด็กและเยาวชนที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศแผนปรองดอง โดยจะใช้พลังบริสุทธิ์ของเด็กและเยาวชนเคลื่อนความปรองดองแห่งชาติ เพื่อทำให้ผู้ใหญ่ทั้งเสื้อเหลืองเสื้อแดงเลิกทะเลาะกัน
2.จากนี้จะนำข้อมูลที่ได้รับมาเปลี่ยนวิธีการคิด ที่ผ่านมาจะมีแต่ตัวบ่งชี้ด้านลบ ต่อไปนี้จะปรับให้เป็นเชิงบริหารจัดการเชิงบวก โดยบรรดาผู้บริหาร ครู หรือนักพัฒนาสังคม ใครแก้ปัญหาได้ ต้องให้เอพลัส ไม่ใช่ให้ทำงานในลักษณะปิดทองหลังพระ และยังเห็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ คือการเคารพนวัตกรรมในพื้นที่ ไม่ใช่ให้ส่วนกลางเป็นคนคิด และ 3.ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เห็นการเปลี่ยนแปลงขยับจากพื้นที่มาเป็นลำดับ มีการเปิดพื้นที่เด็กและเยาวชนมากขึ้น
นายสมพงษ์ กล่าวว่า ข้อมูลที่ต้องทำงานหนักต่อไปเป็นภาพที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้น เด็กในประเทศไทยมีประมาณ 12 ล้านคน มี 9-10 ล้านคน อยู่ในระบบการศึกษา ส่วนที่เหลืออีก 2-3 ล้านคน ถูกผลักออกจากระบบการศึกษา อยู่สถานพินิจฯ ประมาณ 5 หมื่นคน อีกแสนกว่าคนถูกผลักออก
“ปีนี้มีงานวิจัยที่น่าสนใจ คือเรื่อง “เด็กลอยล่อง”ที่ลอยล่องอยู่ตามร้านเกม ผับ คอสะพาน ตั้งแต่สี่ทุ่มถึงตีสามและเรื่องเด็กไม่นอน ที่ จ.สมุทรปราการ อ่านแล้ววางไม่ลงสะท้อนให้เห็นว่า เด็ก 14-21 ปี ไปอยู่ตรงนั้น ที่ผับ ร้านเกม ถามว่าเปิดได้อย่างไร 24 ชั่วโมง อีกกลุ่มคือ ลูกแรงงานต่างด้าว มีเยอะมาก จะทำอย่างไรกับเขา ถ้าไม่ให้โอกาส ไม่ให้การศึกษา เขาจะเป็นอย่างไร และเด็กกลุ่มสุดท้าย คือ กลุ่มที่อพยพ ย้ายถิ่นฐานเข้ามา เป็นลูกกรรมกรที่เข้ามาทำงาน นายกรัฐมนตรีฝากเรื่องนี้มาเมื่อการประชุมครั้งที่แล้ว”
นี่เป็นเด็ก 2-3 ล้านคน ที่อยู่นอกระบบ จะทำอย่างไรการเฝ้าสถานการณ์ระดับจังหวัด ระดับพื้นที่สำคัญ ทำให้ทราบว่าเด็กจะอยู่ตรงไหน จะช่วยเขาอย่างไร” นายสมพงษ์ กล่าว
พ.ต.อ.สุรศักดิ์ เลาหพิบูลย์กุล รองหัวหน้านักวิจัยทีมภาค กรุงเทพฯ ปริมณฑล กล่าวว่า จากการวิจัยในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในปี 2551-2552 พบว่า เด็กและเยาวชนยังมีปัจจัยเสี่ยงสูง (high risk) ในด้านต่างๆ คือ 1.ด้านสุขภาพจิต เด็กมีอาการเครียดจนนอนไม่หลับหรือปวดท้อง 25-44% เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยภาคในปีที่ผ่านมา
“สอดคล้องกับจำนวนเด็กที่พยายามฆ่าตัวตายที่สูงขึ้นจาก 13 คนต่อประชากรแสนคนเป็น 17 คนต่อประชากรแสนคน ซึ่งในประเทศไทย 3 ใน 10 ของคนไทยที่ฆ่าตัวตาย คือ เด็กสาเหตุที่มาแรงตอนนี้ คือ รายได้ไม่พอกับค่าใช้
จ่าย ในเรื่องสุขภาพจิต เช่น เด็กเผาโรงเรียน ได้คุยกับอาจารย์ที่วิทยาลัยเทคนิคแห่งหนึ่ง ซึ่งมีการหาเสียงประธานนักเรียน โดยบอกว่าหากได้รับเลือกจะยกเลิกเข้าแถวตอนเย็น ถ้าทำไม่ได้จะเผาโรงเรียน ปรากฏว่าได้รับเลือกเป็นประธานไม่คิดว่าจะทำจริง แต่คงพูดเอาใจฐานเสียงเหมือนนักการเมือง”
2.ปัญหาการทุจริตคดโกงของประเทศ เด็กคิดว่าผู้ใหญ่ทุจริตคดโกงมากขึ้น พุ่งพรวด โดยเด็กระดับมัธยมต้น-อุดมศึกษา คิดว่าประเทศมีการทุจริตคดโกงในระดับมากอยู่ในช่วง 83-94% เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 55-71% เรื่องนี้ไม่ต้องแปลกใจ เพราะมีการชุมนุมทางการเมือง มีการตัดสินคดีทุจริตมาก แต่สิ่งที่น่าแปลกใจคือ การที่ผู้ใหญ่ไม่แก้เรื่องนี้ และเห็นเรื่องการทุจริตคดโกงเป็นเรื่องปกติ เด็กก็จะเห็นเป็นเรื่องปกติ
3.พฤติกรรมการเล่นเกม เด็กและเยาวชนเล่นเกมสูงขึ้นจาก 28-37% เป็น 28-40% 4.พฤติกรรมทางเพศ เด็กและเยาวชนยอมรับการอยู่ก่อนแต่งเพิ่มขึ้นจากเดิม 32-64% เป็น 35-61% 5.การเข้าสถานพินิจฯ เด็กและเยาวชนเข้าสถานพินิจฯ เพิ่มขึ้นเป็น 272 คนต่อประชากรแสนคน จากเดิมเมื่อปีที่ผ่านมา จำนวน 232 คนต่อประชากรแสนคน 6.การดื่มเหล้า เด็กมัธยมศึกษาตอนต้น-อุดมศึกษา ดื่มเหล้าเป็นครั้งคราวถึงเป็นประจำสูงขึ้นจากเดิม 14-48% เป็น 21-51% และ 7.ปัญหายาเสพติด เด็กระดับประถมศึกษา-อุดมศึกษา พบเห็นการเสพยาเสพติดในสถานศึกษาสูงขึ้นจาก 5-23% เป็น 11-38%
พ.ต.อ.สุรศักดิ์ กล่าวว่า ส่วนด้านปัจจัยสร้างหรือปัจจัยปกป้องสูง (high protection) ของเด็กและเยาวชนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลนั้นพบว่า 1.ด้านงบประมาณการศึกษาของท้องถิ่นพบว่าองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)ขนาดใหญ่มีแนวโน้มจะจัดสรรงบให้มากกว่าอปท.ขนาดเล็ก 2.ด้านครอบครัว พบว่าเวลาเฉลี่ยในการพุดคุยกับพ่อแม่เพิ่มขึ้นเป็น 2-2 ชั่วโมงครึ่ง 3.ด้านการอ่าน มีการอ่านหนังสือเป็นงานอดิเรกเพิ่มขึ้น คือ 38-104 นาที 4.ชอบไปโรงเรียนอยู่ในอัตราที่สูง 5.ด้านศาสนา ไปวัดเป็นประจำในอัตราที่สูง และ 6.ด้านทัศนคติและความผูกพันกับท้องถิ่น พบว่ามีความรู้สึกว่าจังหวัดที่ตนเองอยู่เป็นจังหวัดที่น่าอยู่ในระดับปานกลางถึงมาก 90-93%
นอกจากนี้ จากผลการวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงและปัจจัยสร้างดังกล่าว ทีมงานวิจัยได้สังเคราะห์เป็นข้อเสนอดังนี้ 1.ครอบครัวต้องให้เวลาแก่บุตรหลานอย่างพอเพียง ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ ผู้ใหญ่ต้องทำตัวเป็นตัวอย่างแก่เด็ก สร้างความเข้มแข็งด้านจิตใจให้แก่เด็ก 2.โรงเรียนควรจัดการเรียนการสอนที่ตอบสนองเด็กเป็นรายบุคคล จัดทำโครงการปกป้องและพัฒนาที่ตอบสนองความสนใจเด็กอย่างแท้จริง ปลูกฝังเรื่องจิตอาสา 3.อปท.ต้องเข้ามามีส่วนร่วมจัดกิจกรรมรณรงค์ลดปัจจัยเสี่ยงต่อเด็กให้มากขึ้นและเพิ่มปัจจัยสร้าง และ 4.รัฐต้องสนับสนุนการจัดสรรงบแก่ อปท.ขนาดเล็ก เพื่อให้ดูแลการศึกษาที่ตอบสนองท้องถิ่นได้เอง และจัดระบบการวัดผลสัมฤทธิ์การศึกษาที่มีข้อโต้เถียงน้อยลง ตลอดจนบังคับใช้กฎหมายต่อพื้นที่เสี่ยงโดยเคร่งครัด
ที่มา : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
update:14-06-53
อัพเดทเนื้อหาโดย : ณัฏฐ์ ตุ้มภู่