เด็กแฝด-คลอดก่อนกำหนด เสี่ยงสมองพิการ
เตือน!! สังเกตพัฒนาการลูกช่วง1-2 ปี
ราชวิทยาลัยเตือนเด็กคลอดก่อนกำหนด เด็กแฝด กลุ่มเสี่ยงสูงภาวะสมองพิการ แนะพ่อแม่สังเกตพัฒนาการลูกช่วงวัยเด็ก 1 – 2 ปี หากเคลื่อนไหวผิดปกติ ไม่ลุกนั่ง ไม่เดิน รีบพบแพทย์
รศ.พญ.กมลทิพย์ หาญผดุงกิจ อุปนายกราชวิทยาลัยเวชศาสตร์ฟื้นฟูแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในผู้ป่วยกลุ่มสมองพิการที่มีภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็ง ทำให้มีผลต่อการเคลื่อนไหวของร่างกายมีสาเหตุมาจากการเกิดภาวะที่สมองมีรอยโรค ไม่ว่าจะเป็นการขาดออกซิเจนระหว่างการคลอด หรือการเกิดโรคทางสมอง อาทิ โรคไข้สมองอักเสบ ฯลฯ ในช่วงที่สมองยังไม่พัฒนาการเต็มที่ คือ ไม่ถึงอายุ 8 ปี ผู้ปกครองจึงควรเฝ้าสังเกตพัฒนาการของลูกในช่วงวัยเด็กอย่างใกล้ชิด หากไม่ลุกนั่ง ไม่เดิน หรือมีความผิดปกติในการเคลื่อนไหวต่างจากพัฒนาการตามวัยเด็กประมาณ 1 – 2 ปี ที่ควรจะเป็น ควรรีบพบแพทย์
“ยิ่งคลอดก่อนกำหนดมากเท่าใด โอกาสเสี่ยงที่เด็กจะมีภาวะสมองพิการจะมีมากขึ้นเท่านั้น เช่นเดียวกับกลุ่มที่มีภาวะมีบุตรยาก มักจะถูกกระตุ้นให้ไข่ตกมากกว่าปกติ ทำให้คลอดลูกแฝด และมักจะคลอดก่อนกำหนด ก็มีโอกาสเสี่ยงเช่นกัน ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า เด็กที่คลอดก่อนกำหนดทุกรายหรือกลุ่มมีบุตรยากทุกรายจะมีบุตรที่มีภาวะสมองพิการดังกล่าว เพียงแต่ปัจจัยเหล่านี้ทำให้มีโอกาสเสี่ยงสูงขึ้น ขณะเดียวกันเด็กที่มีภาวะสมองพิการจะมีผลต่อความสามารถในการเคลื่อนไหว ซึ่งบางรายเท่านั้นที่มีระดับสติปัญญาอ่อนร่วมด้วย” รศ.พญ.กมลทิพย์ กล่าว
รศ.พญ.กมลทิพย์ กล่าวต่อว่า สำหรับอุบัติการณ์ของภาวะสมองพิการ ทำให้มีภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งประมาณ 2.4 รายของเด็กอายุ 3 – 10 ปีจำนวนพันราย ในจำนวนนี้สาเหตุของการสมองพิการจากการคลอดมีประมาณ 1% ต่อทารกพันรายที่คลอดมีชีพ 86% ของผู้ป่วยภาวะสมองพิการ ทำให้กล้ามเนื้อหดเกร็งส่วนล่างและเป็นทั้งสองข้าง ภาวะทางสมองดังกล่าวทำให้เกิดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อแล้วแต่จุด หากหดเกร็งในท่อนขาก็ทำให้การเดินผิดปกติ เดินเขย่งตลอดชีวิต
“วิธีการรักษามีทั้งการทานยาและฉีด แพทย์จะเป็นผู้เลือกว่าผู้ป่วยเหมาะกับอาการของโรคใด ส่วนใหญ่ใช้หลายแนวทางร่วมกัน เช่น ในรายที่มีอาการหดเกร็งกล้ามเนื้อมากอาจให้ยาทาน หรือในรายที่เด็กจะให้ยาฉีด ซึ่งยาฉีดที่ใช้รักษาเดิมมีการใช้สารฟีนอล ซึ่งเป็นกลุ่มแอลกอฮอล์ วิธีการฉีดยุ่งยาก เนื่องจากต้องปักเข็มเข้าเนื้อเพื่อหาจุดจึงค่อยฉีดยา ซึ่งหากเป็นเด็กเล็กจะยุ่งยากมาก ในระยะหลังวงการแพทย์มีการใช้สารโบทูลินั่มท็อกซินมาฉีดเพื่อให้กล้ามเนื้อคลายการหดเกร็ง โดยมีฤทธิ์ยาประมาณ 3 เดือน” รศ.พญ.กมลทิพย์ กล่าว
รศ.พญ.กมลทิพย์ กล่าวด้วยว่า การรักษาด้วยสารโบทูลินั่มท็อกซินปัจจุบันเป็นวิธีที่ได้ผลดี โดยเฉพาะในเด็กเล็ก แต่ต้องควบคู่ไปกับการทำกายภาพบำบัดด้วย โดยการฉีดสารดังกล่าวจะคำนวณตามน้ำหนักของผู้ป่วย คือ 5 – 20 หน่วยต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หากเด็กน้ำหนัก 20 กิโลกรัมจะต้องใช้ยาประมาณ 200 หน่วยหรือประมาณ 2 ขวด
ซึ่งยาที่ใช้รักษาอยู่ในปัจจุบันนี้มีทั้งมาจาก สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ประมาณหมื่นกว่าบาทต่อขวด และทราบมาว่า ล่าสุดมีบริษัทยาจากประเทศเกาหลีนำเข้าสารดังกล่าวที่มีคุณภาพเท่ากัน แต่ราคาถูกกว่าประมาณ 30% ซึ่งเป็นโอกาสดีที่ผู้ป่วยจะเข้าถึงยามากขึ้น
ที่มา: หนังสือพิมพ์astv ผู้จัดการ
ภาพประกอบ: อินเทอร์เน็ต
update 30-06-52
อัพเดทเนื้อหาโดย : กันทิมา ลีจันทึก
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
– ฟังลูกคุยทุกวัน จะเกิดเด็กดีมีความสุข
– โรคเอแอลดี มีลูกชายเสี่ยง 50%
– พบวิตามินบำรุงครรภ์ ป้องกัน ‘เด็กหัวบาตร’
– เผยไทย ‘ผ่าคลอด’ สูง ทำลูกป่วยง่าย