เดินหน้ายุติความรุนแรงใน `เด็กและสตรี`
จากสถิติพบว่า เด็ก และผู้หญิง ถูกทำร้ายและเข้าโรงพยาบาล เฉลี่ย 87 รายต่อวัน ซึ่งนับเป็นตัวเลขที่น่ากังวลอย่างยิ่ง
เมื่อไม่นานมานี้ แผนงานสุขภาวะผู้หญิงและความเป็นธรรมทางเพศ โดยการ สนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับเครือข่ายองค์กรผู้หญิง ในนาม "เครือข่ายรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อผู้หญิง" จัดกิจกรรมรณรงค์ "เคลื่อน เพื่อ หยุด ความรุนแรงต่อผู้หญิง (MOVE to STOP violence against women)" ขึ้น เนื่องในวันสตรีสากล (8 มีนาคม) โดยมี ดร. ประกาศิต กายะสิทธิ์ ผู้อำนวยการ สำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ สสส. และ ดร.ผุสดี ตามไท รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานเปิดงาน
ดร. ประกาศิต กล่าวว่า จากข้อมูลขององค์การสหประชาชาติ ระบุว่า ร้อยละ 35 หรือมากกว่า 1 ใน 3 ของผู้หญิงทั่วโลก เคยถูกทำร้ายร่างกายและ/หรือถูก ล่วงละเมิดทางเพศ ในปี 2556 พบมีผู้หญิงและเด็กถูกทำร้ายถึงขั้นได้รับบาดเจ็บ ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล รวม 31,886 ราย หรือ 87 คนต่อวัน โดยความรุนแรงเหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในพื้นที่ที่เราคิดว่าปลอดภัยที่สุด นั่นคือ บ้าน
สถิติเหล่านี้ ทำให้เห็นว่า ปัญหาความรุนแรงต่อผู้หญิงนี้ มีความร้ายแรง แต่ที่ผ่านมา คนในสังคมจำนวนไม่น้อย ยังมีความคิดความเชื่อที่ไม่เอื้อต่อการแก้ปัญหา เช่น คิดว่า ความรุนแรงในชีวิตคู่หรือในครอบครัวเป็นปัญหาส่วนตัว หรือคิดว่าการถูกล่วงละเมิดทางเพศเป็นเรื่องน่าอับอายสำหรับผู้หญิงที่ถูกกระทำ ขณะที่กลไกของรัฐหลายด้านเอง ก็ยังต้องได้รับการพัฒนาสมรรถนะการทำงาน เพื่อเป็น ที่พึ่งของผู้ประสบปัญหาและสามารถป้องกันปัญหาในระยะยาวด้วย การจะแก้ไขปัญหาความรุนแรงต่อผู้หญิงต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย และจะแก้ไขให้ได้ผล ควรเริ่มจากการที่คนในสังคมตระหนักและไม่เพิกเฉยต่อปัญหาดังกล่าว
ด้าน ดร.วราภรณ์ แช่มสนิท ผู้จัดการแผนงานส่งเสริม สุขภาวะผู้หญิงและความเป็นธรรมทางเพศ กล่าวว่า การร่วมรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงด้วยกิจกรรมการร่วมเต้นรณรงค์ เพลง Break the Chain เพื่อสร้างจิตสำนึกการไม่ยอมรับความรุนแรงต่อผู้หญิงในสังคมไทย ซึ่งเครือข่ายฯ ยังจะมีแผนรณรงค์ต่อเนื่องเพื่อขับเคลื่อนทางสังคม โดยเริ่มตั้งแต่วันสตรีสากล ไปจนถึงวันที่ 25 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งเป็นวันยุติความรุนแรงต่อผู้หญิง เพื่อแสดงตัวต่อสาธารณะว่า ไม่เห็นด้วยต่อความรุนแรงต่อผู้หญิงและอยากให้ปัญหานี้ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง
ด้าน พ.ต.อ.หญิง ปวีณา เอกฉัตร พนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ หัวหน้างานสอบสวน สน.สมเด็จเจ้าพระยา กล่าวว่า กรณีการกระทำรุนแรงต่อผู้หญิงพบว่า 80-90% เป็นกรณีสามีทำร้ายภรรยา 10-20% เป็นกรณีของพ่อเลี้ยงทำร้าย/ล่วงละเมิดลูกเลี้ยง ในส่วนของสามีภรรยาเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ประเด็นที่ภรรยามาเพื่อแจ้งความดำเนินคดีมีน้อย แม้จะมี พรบ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 สามารถนำมาใช้ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ แต่กระบวนการจริงในการบังคับใช้กฎหมายตรงนี้ ยังได้ผลไม่เต็มที่ เพราะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่มีการส่งต่อผู้ถูกกระทำเหล่านี้ ยังขาดหน่วยงานในการรองรับการบำบัดและเยียวยา ส่วนตัวมองว่า ทุกภาคส่วนต้องมีส่วนร่วมในการดูแลเพื่อแก้ปัญหาความรุนแรงต่อผู้หญิง ต้องแก้ปัญหาที่ ต้นเหตุ ที่สำคัญคือการปลูกฝังกับเด็กที่กำลังจะโตให้เข้าใจและตระหนักถึงปัญหาการกระทำรุนแรงต่อผู้หญิงด้วย
แม้ว่าจะเป็นเพียงก้าวเริ่มต้น แต่ความจริงจัง และการตระหนักรู้ของทุกภาคฝ่ายจะเป็นแรงส่งทำให้ปัญหาเรื่องความรุนแรงค่อยๆ บรรเทาเบาบางลงและสังคมจะน่าอยู่ยิ่งขึ้นในท้ายที่สุด
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ