เดินหน้าปฏิรูปประเทศไทย

กับ63ล้านความคิด

เดินหน้าปฏิรูปประเทศไทย

 

          คึกคักเป็นกรณีพิเศษสำหรับข่าวคราวตวามเคลื่อนไหวในการเดินหน้าปฎิรูปประเทศไทยในยามนี้ แต่จะครึกโครมต่อเนื่องหรือตื่นเต้นแค่ชั่วครั้งชั่งคราวนั้น คงต้องหยิบยืมสุภาษิตไทยที่ว่า…ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน ..มาเป็นเครื่องเตือนใจ

 

          เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุดในโลก หรือการปฎิรูปอย่างที่สังคมไทยกำลังตื่นตัวในขณะนี้ยังไม่ใช่เรื่องง่าย และแน่นอนต้องใช้ความพยายาม และความอดทนจริงจัง ร่วมมือร่วมใจ สมเป็นวาระของชาตินั่นเอง

 

          ลำพังอดีตนายกรัฐมนตรี นายอานันท์ ปันยารชุน แสดงภาวะผู้นำ ผนวกกับวิสัยทัศน์ของ ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโสตอบสนองต่อคำร้องขอของผู้นำคลื่นลูกใหม่อย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยมีเสียงเชียร์ของแฟนคลับ “”คนรักอภิสิทธิ์” เป็นแรงใจผลักดัน คงไม่เพียงพอ ตราบเท่าที่”เรา” ประชาชนคนไทยมิได้สำเหนียกร่วมกันว่าเรื่องนี้ทุกคนมีหน้าที่ต้องลงมือกระทำด้วย

 

          ช่วยกันคิด ช่วยกันพูด และต้องไม่ลืมช่วยกันทำครับ จึงจะสัมฤทธิ์ผล

 

          อย่างน้อยที่สุด การที่รัฐบาลลุกขึ้นมาสนใจขับเคลื่อนอย่างคึกคักตอนนี้ ผมมองว่า ดีกว่าอยู่เปล่า ๆ เพราะถ้ารัฐบาลชุดนี้อันหมดวาระการบริหารบ้านเมืองไปเสียก่อน ประเทศไทยก็ยังมี “พิมพ์เขียว”หรือเอกสารหลักฐานเป็นบันทึกส่งมอบต่อให้ผู้บริหารชุดต่อไปได้นำไปดำเนินการได้โดยไม่ต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ให้เสียเวลา

 

          ถ้อยแถลงของสำนักนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน ที่ผ่านมา เกี่ยกับโครงการ “6วัน 63 ล้านความคิด” เชิญชวนคนไทยทั้งประเทศร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเดินหน้าปฎิรูปประเทศไทยผ่านโทรศัพท์ ตู้ ปณ.9999 และทางเว็บไซด์นายกรัฐมนตรีนั้น ผมเห็นว่า “กิ๊บเก๋” ทันใจดีนะครับ แต่จะ “ได้ใจ” หรือเปล่า เรียนตามตรงว่า วันนี้ยังเร็วเกินไปที่จะให้คะแนน เนื่องจากนักการเมืองนั้นถนัดนักเรื่องการสร้างภาพ

 

          ในฐานะของผู้ใฝฝันอยากเห็นการปฎิรูปเป็นจริง ผมเห็นว่าแค่ตีปิ๊บ เปิดโทรโข่ง ประชาสัมพันธ์ปลุกเร้าทุกฝ่ายให้ร่วมเดินหน้าปฎิรูปประเทศไทยอย่างที่นักการเมืองในฝ่ายรัฐบาลอยู่นั้นยังแค่เด็ก ๆ ครับ

 

          โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ผมได้มีโอกาสเข้าไปสังเกตการณ์ในเวทีเครือข่ายสถาบันทางปัญญา ที่ถกเรื่องการปฎิรูปประเทศไทยให้น่าอยู่ที่สุดในโลกมากกว่า 5 เดือน โดยประชุม ระดมความคิดเห็นนำเสนอรูปแบบต่าง ๆ จากการลงมือกระทำจริง มีรายงานผลการศึกษาวิจัยประกอบในการทำงานหลายครั้งหลายคราวนั้น

 

          ผมพบว่า การปฎิรูปประเทศไทยแค่พูด แค่คิด แค่อภิปราย แค่สัมมนา ไม่สำเร็จหรอกครับ ถ้าไม่ลงมือทำ

 

          โครงการ 6 วัน 63 ล้านความคิด ที่มีการระบุถึงการกระตุ้นให้คนไทยได้บริจาคความคิดเพื่อการปฎิรูปประเทศไทยนั้น ถือเป็นวิธีการทำงานรูปแบบที่เริ่มจากระดมความคิดเห็น หรือรวบรวมปัญหา สรุปประเด็นก่อนจะลงมือปฎิรูป ฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจอะไรที่เข้าไปเปิดเว็บไซต์ http://www.pm.go.th/forward แล้วพบคำอธิบายว่า…

 

          ที่ผ่านมา ภาคการเมืองของประเทศไทย มักเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมทางนโยบายเพียงแค่ช่วงก่อนการเลือกตั้งโดยภาคการเมืองเป็นผู้นำเสนอนโยบายต่างๆ และจะนำมาทำตามคำสัญญาที่ได้ให้ไว้กับ ประชาชนเมื่อ พรรคการเมืองนั้น ๆ ได้รับเลือกตั้งขึ้นเป็นรัฐบาล โดยในความเป็นจริงอาจเลือกปฎิบัติเพียงบางส่วน และอาจไม่ตรงตามความต้องการของประชาชนที่แท้จริง ซึ่งปัจจุบันนี้ ภาคประชาชนได้มีความตื่นตัวทางการเมืองค่อนข้างสูง ประชาชนหลายกลุ่มได้ออกนำเสนอความคิดและนโยบายใหม่ ๆ ที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ

เดินหน้าปฏิรูปประเทศไทย

 

          ดังนั้นถ้าประชาชนสามารถเสนอแนวติดและวิธีการดำเนินต่อภาครัฐ และรัฐบาลเป็นผู้พิจารณาเลือกหยิบไปใช้ จะช่วยตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ตรงจุด ถือเป็นการเชื่อมโยงและประสานแนวคิดกับปฎิบัติจริง

 

          สำนักนายกรัฐมนตรี ผู้จัดทำเว็บไซต์ pm.go.th และเว็บไซต์ ideas.in.th จึงร่วมมือกันในการทำแนวคิดจากภาคประชาชนไปใช้จริงในการทำโครงการ เดินหน้าปฎิรูปประเทศไทย (Ideas for Thailand) โดยใช้เครื่องมือของ ideas fot Thailandเมืองไทย คุณสร้างได้” เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนที่มีแนวคิดในการนำนวัตกรรมมาใช้เพื่อบริหารมาเสนอผ่านช่องทางดังกล่าว โยที่ภาครัฐและภาคประชาชนจะร่วมกันคัดเลือกแนวคิดที่ดี และปฎิบัติได้จริงไปดำเนินการโดยชใช้กลไกภาครัฐเป็นเครื่องมือสนับสนุน…

 

          ครับ…มันแค่เริ่มต้น แต่ได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษก็เพราะรูปแบบกลยุท์ในการบริหารจัดการอย่างนักการเมืองนั่นไง

 

          ลองคิดดูสิครับ 63 ล้านความคิดมีจริงล่ะก็ แค่ 6 เดือนจะทำกันไหวไหม ผมจึงยืนยันว่า ลงมือทำเท่านั้นจึงจะปฎิรูปประเทศไทยได้

 

          ความเหลื่อมล้ำจะจางหายไปจากความรู้สึกของคนในสังคมไทยได้หรือเปล่านั้น ยังต้องทำกันอีกนานครับ เพราะการได้มีช่องทาง หรือโอกาสแสดงความคิดเห็นที่เท่าเทียมกันก็เป็นแค่บริบทหรือวิถีทางที่เรียกตามภาษาฟังแล้วรื่นหูว่าหนทางแบบประชาธิปไตยเท่านั้น

 

          แล้วใครล่ะ?!?ที่จะทำให้สำเร็จได้ ในเมื่อนักการเมืองมาแล้วก็ไป เลือกตั้งใหม่ มีรัฐบาลชุดใหม่ พร้อมกับนโยบายใหม่ ๆ ฯพณฯ ทั้งหลายจะหยิบพิมพ์เขียวจากโครงการ 6 วัน 63 ล้ารความคิดอันแสนกิ๊บเก๋ในวันนี้ มาใช้ หรือปล่อยให้ฝ่นจับเกาะอยู่ในลิ้นชักตึกไทยคู่ฟ้าของทำเนียบรัฐบาล

หรือเปล่านั้น…กาลเวลาเท่านั้นจะให้คำตอบได้

 

          ฉะนั้น… ผมมองความเคลื่อนไหวของการปฎิรูปประเทศไทยตอนนี้เป็นแค่กระแส โดยคาดหวังและลุ้นอยู่ในใจ กระแสนี้เมื่อผุดขึ้นในสังคมไทยแล้ว จะมี “มือ”ที่แข็งแกร่งมาร่วมจับและจัดการทำให้เป็นจริง ขอเพียงมีความต่อเนื่องเท่านั้นครับ

 

 

 

 

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

 

 

 

Update: 01-07-53

อัพเดตเนื้อหาโดย: คมสัน ไชยองค์การ

Shares:
QR Code :
QR Code