เดินหน้านโยบาย มะเร็งรักษาได้ทุกที่
ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน
แฟ้มภาพ
ปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคมะเร็งเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นโรคที่ต้องรีบรักษา ดังนั้นจึงมีการออกนโยบายให้ผู้ป่วย สามารถเข้ารับการรักษาได้ในโรงพยาบาลทุกที่ที่มีความพร้อม เพื่อได้รับการรักษาเร็วขึ้น โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 เป็นต้นมา
เสียงตอบรับที่ดีต่อนโยบาย โรคมะเร็งไปรับบริการที่ไหนก็ได้ที่พร้อม หรือ Cancer Anywhere ซึ่งเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 เป็นสิ่งยืนยันว่าการตัดสินใจเชิงนโยบายของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) สามารถคลี่คลายความทุกข์ของผู้ป่วยจำนวนมากได้จริง
แม้ว่าการยกระดับระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ในครั้งนี้ จะนำโดย "ฝ่ายการเมือง" หากแต่ในทางปฏิบัติ และการจัดการระบบ ย่อมเกี่ยวข้องกับหน่วยงานที่หลากหลาย หนึ่งในนั้นคือ "กรมการแพทย์" ในฐานะแม่งานและมือประสานสิบทิศ
นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ บอกเล่าถึงการเดินหน้านโยบายโรคมะเร็งไปรับบริการที่ไหนก็ได้ที่พร้อม โดยเริ่มจากการฉายภาพให้เห็นถึงปัญหาของโรคมะเร็งในประเทศไทย ที่มีสถิติผู้ป่วยรายใหม่ราวปีละ 1.2-1.3 แสนราย อัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ประมาณ 7-8 หมื่นรายต่อปี แน่นอน ตัวเลขเหล่านี้ ส่งผลให้มะเร็งกลายเป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของประเทศไทยมาอย่างยาวนาน
นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยมะเร็ง นอกเหนือจากระดับความรุนแรงของโรคแล้ว ยังมีอุปสรรคที่สำคัญคือ "เวลา" ที่ขวางกั้นไม่ให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ในหลายกรณีเมื่อตรวจเจอมะเร็งแล้ว แต่กลับต้องรอคอยคิวในการรักษานานอีกหลายเดือน
"รอคิวผ่าตัดอย่างน้อย 1 เดือน รอคอยคิวฉายแสงอีกอย่างน้อย 1-2 เดือน สรุปแล้ว ผู้ป่วยเสียชีวิตเพราะโรค หรือเพราะรักษาช้ากันแน่ ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นที่มาของนโยบายยกระดับ ด้วยหลักการสำคัญคือ การจัดสรรคิวบนฐานข้อมูลที่เชื่อมต่อกัน" อธิบดีกรมการแพทย์ ระบุ นพ.สมศักดิ์ บอกว่า เรื่องนี้ต้องยกเครดิตให้กับรองนายกฯ อนุทิน ในฐานะผู้ผลักดันนโยบายจากการรับฟังเสียงสะท้อน ข้อร้องเรียน และความทุกข์ของประชาชน จนนำไปสู่การสร้างรูปธรรม การเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้
อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ด้วยความสนใจเรื่องมะเร็ง นายอนุทิน ได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่อย่างละเอียดจนทราบปัญหาแรกคือ ประเทศไทยยังมี "เครื่องฉายแสง" ไม่เพียงพอ นั่นทำให้ได้ตัดสินใจสั่งซื้อเครื่องฉายแสงพร้อมกันทีเดียว 7 เครื่อง จัดสรรเพิ่มให้ครบทุกเขตสุขภาพทั่วประเทศ การตัดสินใจดังกล่าว ช่วยลดอุปสรรคเรื่องเครื่องมือ นำไปสู่ประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการรักษาที่เพิ่มมากขึ้น
"ปกติเครื่องฉายแสงมีราคาตั้งแต่เครื่องละ 100-200 ล้านบาท ในปีหนึ่ง ทั่วประเทศก็สามารถซื้อได้เพียง 3-4 เครื่องเท่านั้น และหากเขตสุขภาพใดซื้อเครื่องนี้มาสักเครื่องแล้ว งบที่จะเหลือจัดสรรไปทำอย่างอื่นก็แทบไม่ได้ ดังนั้น การผลักดันของรองนายกฯ ช่วยแก้ปัญหานี้อย่างตรงจุด และเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้นโยบายนี้เกิดขึ้น" นพ.สมศักดิ์ ระบุถัดจากการปลดล็อกอุปกรณ์ ก็เข้ามาสู่เรื่องของการประสาน และจัดสรรคิวระหว่างโรงพยาบาล ซึ่ง กรมการแพทย์ได้พัฒนาแพลตฟอร์ม "The One" ใช้สำหรับตรวจสอบคิวการตรวจวินิจฉัยด้วยการสแกนคอมพิวเตอร์ (CT Scan) หรือ การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ในแต่ละโรงพยาบาลว่าเป็นอย่างไร
"ช่วงแรก เราเริ่มด้วยการจับคู่ระหว่างโรงพยาบาล (รพ.) ราชวิถี กับสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ซึ่งจากที่ รพ.ราชวิถี เคยมีคิวคนไข้มาก อย่างการตรวจแมมโมแกรมมีคิวยาวเป็นเดือน แต่พอได้จับคู่กันแล้ว ก็ไม่เหลือคิวอีก พอเข้ามานัดแล้ว อีกวันก็ทำได้เลย" นพ.สมศักดิ์ เล่าอธิบดีกรมการแพทย์กล่าวว่า สำหรับการให้บริการ กรมการแพทย์ได้ตระเตรียมความพร้อมด้วยการจัดอบรม "ผู้ประสานงานด้านมะเร็งประจำโรงพยาบาล" หรือ "Cancer Coordinator" ในช่วง 1-2 เดือน ก่อนเริ่มต้นนโยบาย มีผู้เข้ารับการอบรมแล้ว 3 รุ่น จำนวนราว 400-500 คน ผู้ประสานงานเหล่านี้จะทำหน้าที่ช่วยเหลือในการจัดคิวและตอบคำถามให้กับผู้ป่วย ประจำอยู่ในโรงพยาบาลทั่วประเทศ
นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า ส่วนฟากฝั่งของผู้ป่วยเอง ก็มีแอพพลิเคชั่น "Cancer Anywhere" ให้ใช้เป็นเสมือนใบนำทาง แทนการใช้ "ใบส่งตัว" ไม่ว่าผู้ป่วยจะได้รับการวินิจฉัยมะเร็งจากโรงพยาบาลใด หากโรงพยาบาลนั้นไม่พร้อม ก็สามารถประสานติดต่อไปยังโรงพยาบาลที่มีศักยภาพ และผู้ป่วยสามารถถือแอพพ์ ไปเข้ารับการรักษาได้ทันที
ขณะที่ภาพรวมการดำเนินงานระดับประเทศ ได้เกิดการรวบรวมทะเบียนผู้ป่วยเป็นฐานข้อมูลกลางภายใต้ชื่อ "Thai Cancer Based Plus" ซึ่งขยายความร่วมมือสู่จำนวนโรงพยาบาลที่เข้าร่วมเก็บข้อมูลเพิ่มมากขึ้น และเมื่อรวมข้อมูลผู้ป่วยที่มากขึ้นในแต่ละปี ข้อมูลเหล่านี้ก็จะกลายไปเป็น Big Data ที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ต่อไป
นพ.สมศักดิ์ อธิบายต่อไปว่า ความสำเร็จของการจัดทำนโยบายโรคมะเร็งไปรับบริการที่ไหนก็ได้ที่พร้อม ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากรากฐานที่วางไว้ในช่วงการตั้งรับกับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ซึ่งกรมการแพทย์ได้ทำความร่วมมือกับหน่วยบริการทั้งภาครัฐและเอกชนในลักษณะเครือข่าย นั่นทำให้นอกจากจะมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันแล้ว ยังสามารถเชื่อมต่อระบบเข้าหากันได้ด้วย "นโยบายมะเร็งในขณะนี้ เป็นการจับมือระหว่างเครือข่ายโรงพยาบาลภาครัฐ กับเครือข่ายโรงพยาบาลกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (UHosNet) ด้วย
การสนับสนุนของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในการเจรจาเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ ส่วนภาคเอกชนยังคงอยู่บนความคาดหวังที่จะสามารถเจรจาเพื่อเข้าร่วมให้บริการได้ในอนาคตต่อไป" อธิบดีกรมการแพทย์ ระบุแน่นอนว่า ในช่วงระยะเวลาไม่ถึง 3 เดือนนับจากที่โครงการนี้เริ่มต้น ยังอาจเร็วไปที่จะสรุปถึงผลสำเร็จที่ได้ แต่หากมองจากจำนวนผู้ป่วยราว 1.5 หมื่นราย ที่เข้าโครงการ พร้อมกับจำนวนสถานบริการอีก 238 แห่งทั่วประเทศ ที่เข้าร่วม ทำให้นโยบายนี้เดินหน้า ซึ่ง นพ.สมศักดิ์ มองว่า เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีพอสมควรส่วนการวัดผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้
นพ.สมศักดิ์ อธิบายว่า จะประเมินจากตัวเลข 3 ตัว นั่นคือ 4-6-6 ซึ่งหมายความว่า หากผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยมะเร็ง จะต้องได้รับการรักษาภายใน 4 สัปดาห์ หากต้องรับเคมีบำบัด ต้องได้รับภายใน 6 สัปดาห์ เช่นเดียวกับรังสีรักษา ที่ต้องได้รับภายใน 6 สัปดาห์ ด้วยเช่นกันตัวเลข 4-4-6 คือการวัดผลสัมฤทธิ์ หากแต่เป้าหมายที่อธิบดีกรมการแพทย์ท้าทายตัวเอง คือ จะขับเคลื่อนนโยบายไปสู่การลดตัวเลขเหล่านั้นให้เหลือเป็น 2-4-4 ให้ได้นั่นหมายถึงคุณภาพในการรักษามะเร็งที่จะดีมากขึ้น จากการได้รับการรักษาที่รวดเร็วมากขึ้น รวมถึงการครอบคลุมไปยังสิทธิประกันสังคม ที่จะเพิ่มการเข้าถึงของกลุ่มประชาชนอีกจำนวนหนึ่งได้มากขึ้นด้วย
"เราเริ่มเห็นถึงโจทย์ที่ว่า ชีวิตคนไทยจะเป็นวีไอพีทั้งหมดได้หรือไม่ เริ่มได้รับการตอบสนองมากขึ้น ซึ่งความฝันต่อไปที่เราอยากเห็นคือ การขยายเครือข่ายความร่วมมือเหล่านี้ไปสู่ทุกโรค หรือการแก้ปัญหาของคนกรุงเทพฯ ที่หากต้องนอนโรงพยาบาล ก็ต้องได้นอน เพราะทุกวันนี้ ยังไม่ใช่ โดยการหาจุดสมดุลในเกณฑ์การจ่าย แทนที่โรงพยาบาลเอกชนจะเตียงว่าง ก็สามารถได้เงินจากเตียงนั้น วิน-วินทุกฝ่าย" นพ.สมศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย