เซลฟี่ (Selfie) โรคระบาดในกลุ่มวัยรุ่นไทย
เซล ฟี่ คืออะไร โรคเซลฟี่ Selfie พฤติกรรมเป็นอย่างไร คุณโพสต์รูปทางโซเชียลแล้วหวังคนไลค์หรือไม่ ถ้าใช่อาจเข้าข่ายเป็น โรคเซลฟี่ Selfie แล้วนิสัยอื่น ๆ ของโรคนี้เป็นอย่างไร
สังคมก้มหน้ากำลังระบาดไปทั่วโลก กับประเทศไทยเองก็ไม่เว้น เพราะสังเกตเห็นได้ชัดเลยว่า คนสมัยนี้ไม่ว่าจะขึ้นรถ นั่งทานอาหาร เดินตามท้องถนน หรือแม้แต่คุยกับเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างกันแท้ ๆ ก็ยังคุยผ่านหน้าจอสี่เหลี่ยมเลย และกิจกรรมยอดฮิตของชาวออนไลน์ก็คือ การถ่ายรูปสารพัดสิ่งอัพลงเฟซ หรืออินสตาแกรม แล้วรอให้คนมากดไลค์นั่นเอง
แต่พฤติกรรมเช่นนี้ ก็ทำให้หลาย ๆ คน มีปัญหาสุขภาพจิตตามมาอย่างคาดไม่ถึงเหมือนกัน
แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต ให้ข้อมูลว่า ในยุคที่คนนิยมใช้สื่อสังคมออนไลน์มากขึ้น ได้ทำให้คนจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะวัยรุ่น นักเรียน นักศึกษา มีพฤติกรรมที่เรียกว่า "เซลฟี่" (Selfie) กันมาก โดยเป็นพฤติกรรมที่ชอบถ่ายรูปตัวเองในอิริยาบถต่าง ๆ ไม่ว่าจะไปที่ไหน ทำอะไร กินอะไร แล้วนำไปแชร์ในเครือข่ายสังคมออนไลน์ เพื่อรอให้เพื่อน ๆ มากดไลค์ หรือเขียนข้อความแสดงความเห็นต่าง ๆ
สิ่งนี้กลายเป็นพฤติกรรมเคยชินของหลายคนไปแล้ว ซึ่งถ้าดูเผิน ๆ ก็อาจคิดว่าไม่เห็นจะเป็นอะไรใช่ไหมล่ะ แต่จิตแพทย์กลับมองว่า พฤติกรรมเช่นนี้อาจส่งผลกระทบต่อปัญหาสุขภาพจิตในอนาคตได้ โดยเฉพาะเรื่องความเชื่อมั่นหรือความมั่นใจในตนเอง ซึ่งจะมีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และส่งผลต่ออนาคต การงาน และการพัฒนาประเทศอย่างคาดไม่ถึง
"การที่เซลฟี่จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล การลงรูปเพราะอยากได้การตอบรับจากสังคม และการได้ยอดกดไลค์ ถือว่าเป็นรางวัล ซึ่งเป็นหลักปกติของมนุษย์ทั่วไป ถ้าอะไรที่ทำแล้วได้รางวัลก็จะทำซ้ำ แต่ว่ารางวัลของแต่ละบุคคลมีผลกระทบต่อความรู้สึกไม่เท่ากัน บางคนลงรูปไปแล้วได้แค่สองไลค์เขาก็มีความสุขแล้ว เพราะถือว่าพอแล้ว แต่บางคนต้องให้มียอดคนกดไลค์มาก ๆ พอมากแล้วก็ยิ่งติด เพราะถือว่าเป็นรางวัล"
คุณหมอ บอกด้วยว่า ในทางตรงกันข้าม หากโพสต์รูปไปแล้วได้รับการตอบรับ น้อย คนกดไลค์น้อย ไม่เป็นอย่างที่คาดหวังไว้ และทำใหม่แล้วก็ยังไม่รับการตอบรับ จะทำให้บุคคลนั้นสูญเสียความมั่นใจไปเลย และส่งผลต่อทัศนคติด้านลบของตัวเองได้ เช่น ไม่ชอบตัวเอง ไม่พอใจรูปลักษณ์ตัวเอง แต่หากบุคคลนั้นสามารถรักษาความสัมพันธ์กับคนรอบข้างให้เป็นปกติได้ เซลฟี่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต
แล้วรู้ไหมว่าอาการลักษณะนี้เป็นปัญหาในต่างประเทศเช่นเดียวกัน อย่างที่ประเทศอังกฤษ ก็มีชาวอังกฤษต้องเข้ารับการบำบัดทางจิตด้วยอาการเสพติดโซเชียลมีเดีย มากกว่า 100 รายในแต่ละปี โดยสาธารณสุขอังกฤษถึงกับประกาศว่า อาการเสพติดสังคมออนไลน์นี้ ถือเป็นโรคอย่างหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้ แพทย์หญิงพรรณพิมล จึงแนะนำให้ทุกคนต้องมีความมั่นใจในตัวเอง เพราะถ้าขาดความมั่นใจจะทำให้เกิดความกังวล ความลังเล ชีวิตไม่มีความสุข เมื่อคิดสะสมไปเรื่อย ๆ อาจทำให้เกิดความผิดปกติทางจิตใจและอารมณ์ได้ง่าย เช่น หวาดกลัว หวาดระแวง เครียด อิจฉา ชอบจับผิดคนอื่น ซึมเศร้า หรืออาจทำพฤติกรรมแปลก ๆ มีลักษณะตรงข้ามกับความมั่นใจตัวเอง ซึ่งหากเยาวชนขาดความมั่นใจในตัวเองแล้ว จะทำให้พัฒนาตัวเองยาก ขาดผู้นำ โอกาสการสร้างหรือพัฒนานวัตกรรมสร้างสรรค์ต่าง ๆ เป็นไปได้ยากขึ้น สิ่งเหล่านี้ล้วนมีผลต่อการพัฒนาประเทศในอนาคตด้วย
ส่วนวิธีป้องกันการเสพติดเซลฟี่ และการสร้างความมั่นใจตัวเองบนโลกความเป็นจริงนั้น อาจทำได้โดย
1.ต้องให้ความสำคัญกับคนรอบข้างที่เป็นสิ่งแวดล้อมจริงในชีวิตประจำวัน
2.หากิจกรรมยามว่างทำกับคนในครอบครัว เพื่อน ๆ เช่น ออกกำลังกาย ดูหนัง ฟังเพลง เที่ยวพักผ่อน
3.ต้องยอมรับในความแตกต่างของคน ที่ไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน ข้อนี้ถือว่าสำคัญมาก เพื่อที่เราจะได้เข้าใจ ไม่นำตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น
4.ต้องฝึกความอดทนให้กับตัวเอง เพราะการถ่ายเซลฟี่ไม่สามารถที่จะทำได้ตลอดเวลา ครั้งไหนที่ทำไม่ได้ ต้องยอมฝืนใจที่จะไม่ทำ หากผ่านจุดนั้นไปได้ ในครั้งต่อ ๆ ไป ก็จะสามารถควบคุมพฤติกรรมการถ่ายเซลฟี่ได้เช่นกัน
อ่านจบแล้ว ลองสำรวจตัวเองกันดูหน่อย คุณเองก็เป็นคนหนึ่งที่ติดนิสัย "เซลฟี่" บนโลกออนไลน์หรือเปล่า ถ้าใช่ ถึงเวลาต้องเริ่มปรับตัวกันแล้วล่ะ
ที่มา : สถาบันสื่อเด็กและเยาวชน (สสย.)
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต