เช็กสถานการณ์ ‘สิทธิ’ ‘เด็ก(ใน)ไทย’
วันนี้-ปีนี้..ไปถึงไหน??
ใกล้ถึง “วันเด็กแห่งชาติ” ของประเทศไทย วันเสาร์ที่สองของเดือน ม.ค. ซึ่งในปี 2553 นี้ ตรงกับวันเสาร์ที่ 9 ม.ค. ได้ลองเช็กกระแส “สถานการณ์สิทธิเด็กในประเทศไทย” ในรอบปีที่ผ่านมา และแนวโน้มในปีนี้ จากผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับเด็ก ๆ โดยตรง…..
และพบ “แง่มุม” ที่สังคมไทยควรได้พิจารณา…
“ปี 2552 ที่ผ่านมาเป็นปีที่น่าดีใจ ที่เรื่องสิทธิเด็กได้คืบหน้าไปมาก มีพื้นที่การคุ้มครองเด็กในสื่อมากขึ้น และเป็นเรื่องที่น่าดีใจอย่างมากที่สิทธิเด็กในสังคมไทยถูกขับเคลื่อนไปได้มาก เนื่องจากความตื่นตัวและความร่วมมือร่วมใจของประชาชน” …นี่เป็นมุมมองของ รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนจิตรา สายสุนทร หรือ “อาจารย์แหวว” อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งจับงานเด็กไร้สัญชาติมากว่า 10 ปี
ทั้งนี้ อาจารย์แหววบอกต่อไปว่า… กระแสโลกที่เกี่ยวกับสิทธิเด็กในปัจจุบันก็ก่อกลายเป็นกระแสในสังคมไทยด้วย ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ก็มีความเห็นที่ตรงกันว่าหากยังปล่อยให้กระแสเทคโนโลยีและกระแสทุนนิยมเข้าครอบสังคมไทยมาก จะทำให้เด็กและเยาวชนของไทย “ไปไม่รอด”
นักวิชาการรายนี้บอกอีกว่า… ที่ผ่านมาภาคการเมืองมีส่วนน้อยมากในการขับเคลื่อนสิทธิเด็ก แม้ว่าจะไม่เป็นอุปสรรค แต่ก็มิได้ทำหน้าที่สนับสนุน ทั้งที่ภาคการเมืองเป็นภาคที่มีอำนาจหน้าที่ที่จะทำให้งานภาคสังคมเดินหน้าได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจจะเพราะต้องยุ่งกับการแก้ปัญหาการเมือง เรื่องส่วนตัว และเรื่องเศรษฐกิจ
“ทำให้งานด้านนี้ไม่เดินหน้าไปไกลและไปเร็วอย่างที่ควร”
ยกตัวอย่างเช่นกรณี “เด็กหาย” ก็ต้องพึ่งองค์กรเอกชนที่ทำงานเรื่องนี้แจ้งข่าวออกไปให้สื่อรับทราบ มีการประกาศออกไปในวงกว้าง เพื่อให้ตามเด็กได้ นี่ก็เป็นปัญหาเด็กที่แก้ไขได้ด้วยการ ที่ทุกคนร่วมมือกัน
“สิทธิเด็กในไทยที่ได้รับการพัฒนามากขึ้นนั้น ต้องยกความดีให้กับองค์กรพัฒนาเอกชน คนทำงานด้านเด็ก สื่อมวลชน และภาคราชการ ซึ่งช่วยเหลืองานด้านเด็กจริง ๆ ส่วนภาคการเมืองนั้นคงต้องรอให้มีการสรรหาบุคคลที่มีความเป็นมนุษย์นิยมมากกว่านี้ มิใช่เข้ามาเพื่อแก้แต่ปัญหาการเมือง เพราะทุกคนก็รับรู้แล้วว่าการเมืองช่วยอะไรมากไม่ได้ สังคมต้องช่วยเหลือกันเอง”
…อาจารย์แหววระบุ พร้อมทิ้งท้ายว่า… สิทธิเด็กอีกเรื่องที่เมืองไทยควรให้ความสำคัญมากขึ้นคือ “เด็กชายขอบ-เด็กไร้สัญชาติ” ซึ่งไม่จำเป็นว่าเด็กด้อยโอกาสกลุ่มนี้จะต้องได้สัญชาติไทยทุกคน แต่ควรจัดการเขาตามสถานะ-ตามความต้องการ ซึ่งแม้เขาจะเป็นเด็กที่ไม่ใช่คนไทย แต่ก็ควรต้องมีการสร้างศักยภาพให้ เพื่อที่เขาจะได้ใช้ศักยภาพพัฒนาคุณภาพชีวิตตนเอง และก็จะกลายเป็นกำลังพัฒนาประเทศไทยได้ด้วย
ด้าน วัลลภ ตังคณานุรักษ์ หรือ “ครูหยุย” เลขาธิการมูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก ก็บอกกับ “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ว่า… ปีที่ผ่านมาสิทธิเด็กในไทยในแง่ของเกณฑ์พื้นฐานทั่วไปถือว่าประเทศไทยสอบผ่าน โดยเฉพาะเรื่องการศึกษา การรักษาพยาบาล แต่ก็ยังมีโจทย์ที่อาจจะถูกต่างชาติตั้งคำถามได้อีกในประเด็นเรื่องเด็ก ต่างชาติในไทย หรือเด็กไทยในไทยที่หมายถึงเด็กที่ตกหล่นทางทะเบียนราษฎร ไม่รู้ว่าเป็นคนไทยหรือเปล่า ซึ่งเรื่องสิทธิ เช่นในการรักษาพยาบาล จะเป็นปัญหา นอกจากนี้ก็ยังมีปัญหาเด็กและวัยรุ่นอีกหลายด้านที่น่าห่วง
ได้แก่… 1.กลุ่มแม่ที่เป็นเด็ก-วัยรุ่น อายุ 12-14 ปี ซึ่งไทยมีเด็กกลุ่มนี้ 1 ใน 5 ของโลก จากการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร ซึ่งสร้างปัญหาต่อเนื่องอื่น ๆ เกี่ยวกับเด็กอีก เช่น ถูกล่อลวงเป็นแรงงาน เป็นขอทาน ค้าประเวณี, 2.กลุ่มเด็ก-วัยรุ่นทำผิดกฎหมาย อย่างลักทรัพย์ ล่วงละเมิดทางเพศ ยาเสพติด ซึ่งต้องรีบแก้ไข
“ปัญหาสิทธิเด็ก และปัญหาเยาวชนในไทยนั้น เกิดขึ้นเพราะสังคมไทยปล่อยปละละเลยมานาน และมีการอ่อนข้อให้กับอบายมุขทุกประเภท อาทิ สุรา การพนัน สถานบริการต่าง ๆ ร้านเกมเถื่อน ซึ่งหาความรับผิดชอบจากภาคราชการโดยตรงไม่ได้ มีวัฒนธรรมการจ่ายเงิน และที่สำคัญภาคการเมืองนั้น แม้ว่าผู้นำรัฐบาลจะมีใจในเรื่องนี้ แต่ก็ติดขัดเรื่องการบริหารจัดการ” …ครูหยุยระบุ
ทั้งนี้ โดยสรุปจากผู้สันทัดกรณีดังที่ว่ามา “สถานการณ์สิทธิเด็กในประเทศไทย” ก็มีแนวโน้มดีขึ้น แต่ก็มีปัญหาหมักหมมรอการแก้ไขอีกมาก ซึ่งก็ต้องร่วมชี้ว่า… ไม่เพียงประเด็นสิทธิเด็กที่มีชีวิตที่มีปัญหา กับ “สิทธิการมีชีวิตของเด็ก” ก็น่าเป็นห่วงมาก เพราะมีรายงานว่า ทุก ๆ ปีมีเด็กในไทยราว 7,000 คน เสียชีวิตก่อนอายุ 1 ขวบ และอีกราว 9,800 คน เสียชีวิตก่อนอายุ 5 ขวบ โดยต้องย้ำว่าส่วนหนึ่งซึ่งมิใช่ส่วนน้อยเสียชีวิตจากการ “ถูกละเมิดสิทธิในการมีชีวิต” จากผู้ใหญ่ ทั้งที่ไกลและใกล้ตัวเด็ก
อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ซึ่งไทยเป็นรัฐภาคี ข้อ 6 ระบุว่า… “รัฐภาคียอมรับว่าเด็กทุกคนมีสิทธิติดตัวที่จะมีชีวิต รัฐภาคีจะประกันอย่างเต็มที่เท่าที่จะทำได้ ให้มีการอยู่รอด และการพัฒนาของเด็ก”
แต่เมืองไทยวันนี้…เด็กยังมีปัญหาด้อยสิทธิในการพัฒนา
และน่าตกใจ…ที่ “สิทธิการมีชีวิต” ก็ถือว่าวิกฤติมาก !!.
ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
Update:12-01-53
อัพเดทเนื้อหาโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่