เครือข่ายตลาดสีเขียว เปลี่ยนโลก “สีเขียว”
โลกร้อนขึ้น อากาศแปรปรวน บอกเราว่าเรื่องกรีนไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป จุดเริ่มต้นของ “เครือข่ายตลาดสีเขียว” พลังคนหัวใจกรีนที่จะเปลี่ยนโลกสวยด้วยกลยุทธ์ 360 องศา
10 ปีก่อน โลกร้อนยังไม่เป็นปัญหาวงกว้าง ผลิตภัณฑ์กรีนสินค้าออแกนิกน่ะเหรอ เมินซะเถอะ ลูกค้าไม่สนสักอย่างจะแจ้งเกิดยากเต็มที
แต่สำหรับสาวสายเลือดเอ็นจีโอ “วัลลภา แวน วิลเลียมส์วาร์ด” ผู้บริหารเครือข่ายตลาดสีเขียว ไม่อาจมองข้ามเรื่องนี้ไปได้ แต่จะทำอย่างไรให้ตลาด และผู้บริโภคยอมรับผลิตภัณฑ์กรีนๆ เป็นโจทย์หินที่ท้าทาย
ด้วยประสบการณ์ที่เคยผ่านงานทั้งด้าน “เอ็นจีโอ” และ “นักธุรกิจ” มุมคิดสองมุมที่เหมือนจะแตกต่าง แต่เธอบอกว่าหากสองมุมคิดนี้เชื่อมถึงกันได้ “กิจการน้ำดี” ก็เกิดในสังคมและอยู่อย่างยั่งยืนได้เช่นกัน
“คิดเรื่องนี้เมื่อประมาณ 15 ปี ที่แล้ว ตอนนั้นบ้านเราคำว่าผู้ประกอบการสังคมยังไม่มี เราไม่รู้จักคำนี้ รู้แต่ว่าโลกของเอ็นจีโอและโลกของธุรกิจน่าจะเชื่อมถึงกันได้”
เธอเลือกปูทางก้าวแรก ด้วยการเปิดสำนักพิมพ์ “สวนเงินมีมา” เพื่อพิมพ์หนังสือน้ำดี แนวปรัชญา ศาสนา การศึกษาทางเลือก เป็นต้น
“ตอนเขียนแผนธุรกิจ คิดแค่ว่ามันต้องเป็นธุรกิจที่ดี ไม่มุ่งหวังกำไรเป็นที่ตั้ง แต่ต้องเลี้ยงตัวเองได้ เราคิดทำสำนักพิมพ์เพราะเป็นงานเผยแพร่อย่างหนึ่งเป็นการส่งสารที่ดีให้กับสังคม หนังสือที่เราพิมพ์ออกมาเป็นพวกการปฏิรูปการศึกษา การศึกษาทางเลือก ส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพด้านในของคน หนังสือแนวปรัชญา ศาสนา กระทั่งหนังสือสำหรับคนที่ฝันอยากทำธุรกิจที่ดีๆ ซึ่งในเวลานั้นบ้านเรายังไม่มีคำว่า ซีเอสอาร์ ด้วยซ้ำไป”
นอกจากพิมพ์หนังสือ บริษัท สวนเงินมีมา ยังได้บริหารร้านหนังสือของตัวเอง สิ่งที่ตามมาจากการทดลองครั้งนั้น คือความฝันของคนอยากทำ “ร้านกรีน” ที่ถูดจุดไฟขึ้นอีกครั้ง เธอบอกว่าคิดเรื่องนี้มาตลอด 20 ปี แต่ยังไม่มีโอกาสได้ทำเพราะยอมรับว่าตอนนั้นเรื่อง “กรีน” มันเป็นอะไรที่มาก่อนเวลา
“ตอนนั้นมันมาเร็วไป แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว ผู้บริโภคเติบโตขึ้นมาก เริ่มมีจิตสำนึกเรื่องสุขภาพของตัวเอง สังคม และสิ่งแวดล้อมพร้อมจ่ายเงินให้กับสิ่งเหล่านี้ เราจึงเริ่มเขียนโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนจาก สสส.ทำเครือข่ายตลาดสีเขียวที่เน้นเรื่องของตลาดโดยเฉพาะ ต่างจากกลุ่มเอ็นจีโอซึ่งทำเรื่องเกษตรอินทรีย์ ที่เน้นการส่งเสริมและพัฒนาผู้ผลิต แต่งานของเราคือสร้างช่องทางการตลาดให้เกิดขึ้น เพื่อสนับสนุนการผลิตจากทั้งผู้ผลิตที่เป็นเกษตรกร และผู้ประกอบการรายเล็กรายน้อย ได้มีช่องทางจำหน่ายสินค้ากรีน ทำงานนี้ควบคู่กับการให้ความรู้ผู้บริโภคไปพร้อมกันด้วย”
ตอนเริ่มต้นช่องทางจำหน่ายแรก พวกเธอใช้ระบบสมาชิก คือ ไปผูกสมาชิกกับเกษตรกรที่ปลูกผักเกษตรอินทรีย์แล้วเหมาจ่ายเงินเป็นรายปี โดยที่เกษตรจะส่งผักให้ทุกอาทิตย์ ตามจำนวนที่แต่ละครอบครัวต้องการ ทำมา 7 ปี มีสมาชิกอยู่ถึง 100 รายครอบครัวแล้ว
“เป้าหมายของเราไม่ได้ต้องการแค่ให้ขยายกันภายในกลุ่มแต่ภาพที่เห็นในวันนี้ คือมีคนนำระบบนี้ไปใช้มากขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทั้งผู้บริโภค และเกษตรกรที่ทำเรื่องนี้”
จากระบบสมาชิก ก็พัฒนามาสู่ “ตลาด” เข้าคอนเซปต์ “ตลาดสีเขียว” โดยสร้างจุดนัดพบของคนหัวใจกรีน แหล่งรวมผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก ที่อาคารรีเจนท์เฮาส์ ถนนราชดำริ ในทุกวันพฤหัสบดี
เป้าหมายของการดึงคนซื้อและคนขายมาพบหน้ากันครั้งนี้ก็เพื่อสร้างทางเลือกใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น ตามแนวทางการค้าที่เป็นธรรมและการบริโภคที่ยั่งยืน เวลาเดียวกับที่สร้างจิตสำนึกและความตระหนักรู้ในพฤติกรรมการบริโภคของคนเรา จากที่เคยเผลอเล่นงานธรรมชาติ สร้างมลพิษสิ่งแวดล้อม และทำลายวัฒนธรรมการผลิตแบบธรรมชาติโดยไม่รู้เนื่องรู้ตัว
สถานที่ใจกลางเมือง ไม่ใช่เป็นแค่ “ตลาดนัด” แต่เป็นเหมือนเวทีกลางให้ผู้บริโภคได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับผู้ผลิตโดยตรง ผ่านตัวกลางที่เป็นสินค้า ซึ่งผู้ประกอบการที่มาออกร้านสามารถให้ความรู้ และอธิบายถึงที่มาของสินค้าได้ ผู้บริโภคจึงได้รับข้อมูลมากเพียงพอสำหรับการตัดสินใจซื้อ หรือสร้างทางเลือกในการบริโภคที่ตนเองเชื่อใจได้ผลที่ตามมาก็คือขยายกลุ่มคนซื้อที่มีจิตใจเอื้ออาทรต่อสิ่งแวดล้อมให้เติบโตยิ่งๆ ขึ้นไปในที่สุด
พร้อมๆ กับการสร้างเกษตรอินทรีย์ขี้นมา แตกแขนงผลิตภัณฑ์กรีนที่หลากหลาย
“เราเริ่มทำตลาดนัดที่อาคารรีเจ้นท์เฮาส์มาประมาณปีครึ่งช่วง 3-4 ปีเดือนแรก ยังขายได้น้อยมาก แต่เดี๋ยวนี้เรียกว่าขายคุ้มบางรายขายวันเดียวได้เป็นหมื่นบาท เวลานอกจากนี้เขายังทำอย่างอื่นได้ด้วย พอตลาดเราเกิด ก็เริ่มมีตึกสูงอื่นๆ อยากให้ไปทำตลาดแบบนี้ที่อื่นๆ ด้วย เพราะถือว่าเป็นหน้าของตึก โดยเราไม่เกี่ยงว่าต้องเป็นที่ไหน แต่ให้ผู้ผลิตและผู้บริโภคได้ประโยชน์ก็พอแล้ว”
จากตลาดนัดในอาคารสูง ก็ขยายแนวคิดนี้ไปสู่โรงพยาบาลทำโครงการโรงพยาบาลสีเขียว เพื่อพัฒนาระบบและกลไกตลาดสีเขียวในพื้นที่โรงพยาบาลต้นแบบ เพื่อให้แพทย์ และพยาบาลเป็น “ต้นแบบ” ให้คนใกล้ชิดบริโภคอาหารปลอดภัยตามโดยเริ่มต้น ที่โรงพยาบาลปทุมธานี
ความมุ่งมั่นของ วัลภา ยังไม่หยุดแค่นั้นเธอยังริเริ่มกิจกรรมมากมายทั้งการจัดงานกรีนแฟร์ เปิดเว็บไซต์ www.thaigreenmarket.com เพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับตลาดสีเขียวและเกษตรอินทรีย์ สร้างเครือข่ายร้านกรีน เยี่ยมชมฟาร์มหลากหลายกิจกรรม เพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้ รวมทั้งเครือข่ายผู้บริโภคสีเขียว
“การทำตลาดสีเขียวมันไม่ใช่เรื่องง่าย เราต้องคิดหลายๆ ตลบ โดยเฉพาะการพัฒนาตลาด อย่ามักง่าย ต้องคิดให้ถี่ถ้วนให้มีคุณภาพ แล้วนำเอาสิ่งที่มีคุณภาพนั้นมาเล่าเป็นเรื่องราวให้กับผู้บริโภค อย่างเวลาเราขายสินค้า เราจะขายไปพร้อมกับ story ต้องเป็นนักเล่าเรื่อง ของชิ้นนี้ปลูกอย่างไร เลี้ยงอย่างไรปรุงด้วยวิธีไหน ใช้วัตถุดิบอะไรบ้าง ต้องคิดรอบด้าน
เราทำขนาดนี้เพราะการเติบโตของผู้บริโภคเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ตลาดยั่งยืน ถ้าผู้บริโภคไม่มีความรู้คิดแค่ว่าจะกินอะไรก็ได้ ตลาดสีเขียวก็จะไม่มีวันเติบโต เพราะฉะนั้นเราต้องสร้างผู้บริโภคสายพันธุ์ใหม่ขึ้นมา ไม่ใช่ผู้บริโภคสะดวกซื้ออีกต่อไป
เพราะตระหนักว่าสิ่งแวดล้อมเป็นของทุกคนๆ ต้องมีส่วนร่วมรักษา เธอคิดถึงขึ้นว่า ต้องขจัดบางธุรกิจที่เป็นมลพิษให้หมดไป แล้วสร้างสรรค์งานใหม่ๆ อาชีพใหม่ ที่ตอบปรัชญาชีวิตเลี้ยงชีพชอบได้ไปพร้อมๆ กับแก้ปัญหาสังคมได้ด้วยอีกหนึ่งมุมคิด ของคนหัวใจกรีน ที่พร้อมเปลี่ยนโลกสวยด้วยกลยุทธ์ 36 องศา
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ