อุ้ม..ดูด..บีบ..เก็บ ‘นมแม่’ อาหารสวรรค์จากแม่สู่ลูก

 

การสร้างความรู้และความมั่นใจในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้กับว่าที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนให้เด็กไทยได้มีโอกาสกินนมแม่มากยิ่งขึ้น เพราะนมแม่ถือเป็นรากฐานที่สำคัญต่อการเติบโตและพัฒนาการทั้งด้านร่างกาย สมอง จิตใจ และอารมณ์

มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย จึงได้จัดกิจกรรม “สายใยรักนมแม่ cafe” ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ “โครงการสายใยรักแห่งครอบครัว” โดยล่าสุดได้ร่วมกับโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 13 ในหัวข้อ “นมแม่ : อุ้ม ดูด บีบ เก็บ อาหารสวรรค์จากแม่สู่ลูก” โดย พ.ญ.ศิริพัฒนา ศิริธนารัตนกุล หัวหน้ากุมารแพทย์จาก รพ.เซนต์หลุยส์ และ นางมีนะ สพสมัย ผู้เชี่ยวชาญจากมูลนิธิศูนย์นมแม่ฯ ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ พร้อมแนะนำ “เทคนิคการอุ้ม ดูด บีบ เก็บ” และ “การให้น้ำนมแม่อย่างมีประสิทธิภาพ”

“พ.ญ.ศิริพัฒนา” เผยว่า นมแม่นั้นมีความสำคัญมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เพราะมีการค้นพบภาพวาดบนผนังถ้ำโบราณ เป็นภาพของแม่ที่มีเต้านมและลูกที่กำลังดูดนม แสดงให้เห็นว่านมแม่เป็นสิ่งสำคัญในชีวิต และน้ำนมแม่มีเอกลักษณ์ที่ทำให้สมองมีการพัฒนาได้อย่างเหมาะสม มนุษย์จึงอยู่รอดได้มาจนถึงปัจจุบัน

“น้ำนมแม่มีสารช่วยการเจริญเติบโตและการแตกแขนงของเส้นใยสมอง ซึ่งในนมวัวไม่มี นอกจากนี้การอุ้มลูกดูดนมแม่ยังช่วยกระตุ้นระบบประสาททุกส่วนตั้งแต่ประสาทสัมผัสที่ผิวหนังของลูก สายตา น้ำเสียง และรอยยิ้มของแม่ที่ส่งผ่านไปยังลูกจะช่วยกระตุ้นระบบการมองเห็นและระบบการได้ยิน เมื่อไรก็ตามที่เราได้อุ้มลูกขึ้นมาดูดนมแม่เท่ากับช่วยการสร้างเซลล์และเพิ่มเส้นใยประสาทในสมองทุกครั้ง” พ.ญ.ศิริพัฒนา กล่าวมีการวิจัยพบว่าเด็กที่กินนมวัวหรือนมผสมมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานมากกว่า เพราะการได้รับโปรตีนนมวัวอาจเป็นปัจจัยส่งเสริมให้มีการทำลายเบต้าเซลล์ของตับอ่อน เด็กที่กินนมแม่จะมีภาวะน้ำหนักเกินเมื่อก้าวสู่วัยรุ่นน้อยลงถึง 22 เปอร์เซ็นต์ และนมแม่ยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้

“เด็กที่กินนมแม่เมื่อถึงวัยที่กินอาหารเสริมได้ จะสามารถกินอาหารได้หลากหลายมากกว่า เพราะในน้ำนมแม่จะมีกลิ่นของอาหารต่างๆ ที่แตกต่างกันไปตามอาหารที่แม่รับประทาน ลูกมีความคุ้นเคยกับกลิ่นของอาหารที่ออกมากับนมแม่ จึงยอมรับอาหารที่มีรสชาติและกลิ่นต่างๆ ได้ง่าย” พ.ญ.ศิริพัฒนา ระบุโดยในงานได้เปิดโอกาสให้ผู้ร่วมกิจกรรมซักถามข้อสงสัย เพื่อสร้างความมั่นใจในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ในประเด็นต่างๆ อาทิ เด็กกินนมแม่แล้วท้องเสีย กินนมแม่แล้วไม่ยอมถ่าย คุณค่าของนมแม่จะลดลงไปเมื่อเด็กโตขึ้น ฯลฯ นางมีนะ สพสมัย ผู้เชี่ยวชาญจากมูลนิธิศูนย์นมแม่ฯ ได้ให้ความรู้และคำแนะนำอย่างน่าสนใจว่า

“เด็กที่กินนมแม่บางคนอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าลูกท้องเสียจึงหันไปกินนมผสมแทน ความจริงแล้วเด็กที่กินนมแม่มักจะถ่ายเหลวเป็นเรื่องปกติ ไม่เป็นก้อนแข็งแบบนมผสม ในเด็กบางคนอาจไม่ถ่ายทุกวัน และอาจเว้นไปได้หลายๆ วัน เพราะสามารถเอาสารอาหารในนมแม่ไปใช้ทั้งหมดโดยไม่เหลือเป็นกากทิ้งไว้ ประเด็นคำถามคุณค่านมแม่นั้นไม่มีการเจือจาง แต่ลักษณะของน้ำนมจะต่างกันไปในแต่ละวัย โดยในช่วง 3 เดือนแรกภูมิคุ้มกันที่สามารถนำไปใช้ได้ทันทีในนมแม่ช่วยปกป้องลูกจากการเจ็บป่วยในช่วงที่ระบบภูมิคุ้มกันลูกกำลังพัฒนา เด็กมีความจำเป็นที่จะต้องได้รับนมแม่เพื่อช่วยพัฒนาระบบภูมิคุ้มกันให้สมบูรณ์ พอหลังจาก 6 เดือนนมแม่มีภูมิคุ้มกันมากขึ้นช่วยส่งต่อภูมิคุ้มกันจากแม่สู่ลูกในเวลาที่ลูกสัมผัสกับสิ่งใหม่ๆ มากขึ้น เพื่อให้เด็กสามารถออกไปสัมผัสกับสิ่งแปลกปลอมจากภายนอก ซึ่งพบว่าเด็กที่กินนมแม่จะไม่ค่อยป่วยหรือเมื่อป่วยก็จะหายเร็วกว่าเด็กที่กินนมผสม” นางมีนะ กล่าว

นอกจากนี้ทางวิทยากรยังร่วมให้ความมั่นใจว่า “เด็กทุกคนเกิดมาพร้อมกับสัญชาตญาณในการกินนมแม่” ทั้งเด็กที่คลอดตามปกติ หรือเด็กที่ผ่าตัดคลอด เพียงเราต้องช่วยเหลือเล็กน้อยให้กินนมแม่ได้ ดังนั้นพ่อและแม่ทุกคนจึงต้อง “เชื่อมั่นในตนเอง” และ “เชื่อมั่นในตัวลูก” เพราะการรับสารอาหารจากสายสะดือและการกินนมจากเต้าหลังคลอด เป็นการถ่ายทอดความสัมพันธ์ที่ช่วยให้แม่และลูกมีความสัมพันธ์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างต่อเนื่อง

“แม่หลังคลอดจะมีอุณหภูมิร่างกายที่เพิ่มสูงขึ้น เป็นเสมือนเครื่องสร้างความอบอุ่น การเอาตัวของลูกมาวางที่อกแม่ ผิวสัมผัสของทั้งสองคนที่แนบชิดกันจะช่วยกระตุ้นการทำงานของทุกระบบในร่างกาย ความอบอุ่นและเสียงเต้นของหัวใจของแม่ที่ลูกคุ้นเคยจะทำให้ลูกไม่หนาวสั่น กลิ่นและผิวสัมผัสจากตัวแม่จะกระตุ้นความอยากกินนมแม่ ดังนั้นการให้เด็กได้รับน้ำนมแม่ทันทีหลัง คลอด จึงเป็นเสมือนการเปิดสวิตช์การทำงานของร่างกายและเปิดสวิตช์สมองลูก”หัวหน้ากุมารแพทย์ กล่าว

โดยปัจจัยสำคัญของความสำเร็จในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพียงอย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือน และให้นมแม่ควบคู่กับอาหารเสริมไปจนถึง 2 ปี หรือนานกว่านั้นอยู่ที่การปรับเปลี่ยน “ทัศนคติและความรู้” เรื่องของนมแม่ในตัวของ พ่อ แม่ และครอบครัวให้ถูกต้อง รวมไปถึงต้องมีเทคนิค “การอุ้ม” และ “การให้นม” ลูกอย่างถูกต้อง รวมไปถึงวิธีการ “บีบ-เก็บ น้ำนม” สำหรับแม่ที่ต้องกลับไปทำงาน

“การอุ้มที่ดีที่สุดจะเป็นท่าไหนก็ได้ แต่ต้องเป็นท่าที่สบายที่สุดสำหรับแม่ ส่วนท่าอุ้มที่เหมาะสมนั้นจะต้องไม่เกร็ง เป็นการอุ้มแบบประคอง คือเมื่ออุ้มแล้วลูกจะต้องตะแคงเข้าหาหัวนมได้พอดี ส่วนการให้นมควรให้เมื่อลูกต้องการโดยไม่จำกัดจำนวนครั้งหรือชั่วโมง เพราะเด็กไม่สนใจเวลา ไม่รู้ว่านมมีเท่าไหร่ เขาจะรู้แต่เพียงว่าเขาอยากอยู่ใกล้กับแม่ อยากดูดนมแม่ ใช้การสังเกตพฤติกรรมของลูก เพราะเด็กแต่ละคนจะมีความสามารถในการดูดนมช้าหรือเร็วไม่เท่ากัน จึงต้องดูความต้องการของลูกเป็นสำคัญ ในหนึ่งวันเด็กต้องกินนมอย่างน้อย 8 ครั้ง และดูว่าปัสสาวะใสก็เป็นอันใช้ได้ นอนพักได้ไม่งอแง แต่ถ้าปัสสาวะมีสีชาเข้มก็แสดงว่าลูกต้องการน้ำนมเพิ่มมากขึ้น” นางมีนะ ระบุ

ส่วนในเรื่องของการบีบและเก็บน้ำนมนั้นก็มีความสำคัญไม่แพ้กันในแม่ที่ต้องไปทำงาน แม่จึงต้องหาเวลาอย่างน้อยประมาณทุกๆ 3 ชั่วโมง เพื่อบีบเก็บน้ำนมเก็บไว้ ส่วนเวลาที่แม่อยู่กับลูกก็ให้ลูกกินนมจากแม่ตามปกติ โดยการบีบเก็บน้ำนมต้องใช้วิธีการเดียวกันกับการดูดของลูก จึงจะสามารถบีบเก็บน้ำนมได้มากที่สุด โดยใช้เพียงนิ้วโป้งกับนิ้วชี้เท่านั้น วิธีการคือกดเข้าหาตัว บีบ ปล่อย และคลาย โดยสามารถขยับมุมการบีบไปรอบๆ เต้านมได้

“การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่คือ การเรียนรู้จากการปฏิบัติ การฝึกฝนบ่อยๆ จะช่วยได้ ที่สำคัญพ่อและแม่จะต้องเตรียมตัวที่จะเหนื่อยก่อน ความสุขถึงจะตามมา และบางครั้งการร้องไห้ของเด็กไม่ได้หมายถึงความเจ็บปวดแต่หมายถึงความต้องการนมแม่และความอบอุ่นจากแม่ ดังนั้นจึงไม่ต้องเครียด ทำใจให้สบาย ให้ลูกได้ใกล้ชิดกับแม่มากที่สุดขอให้เชื่อมั่นในตนเองและเชื่อมั่นในตัวลูก ก็จะทำให้สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ประสบความสำเร็จ” พ.ญ.ศิริพัฒนา กล่าว

 

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์บ้านเมือง

Shares:
QR Code :
QR Code