อียู เตรียมใช้กฎเหล็ก คุมเข้มเคมีผสมอาหาร
หวั่น…ทำให้เด็กสมาธิสั้น
ดร.ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร เปิดเผยว่า เมื่อเดือนตุลาคม 2550 นักวิจัยจาก มหาวิทยาลัยเซาท์เทมตันประเทศสหราชอาณาจักรได้เผยแพร่ผลการวิจัยลงในวารสารทางการแพทย์ the lancet พบว่าการใช้สีผสมอาหารสังเคราะห์ร่วมกับ สารโซเดียม เบนโซเอต ซึ่งเป็นสารกันเสียในอาหารประเภทขนมหวาน ลูกกวาด ลูกอม ไอศกรีม น้ำผลไม้ และน้ำอัดลม อาจเป็นสาเหตุทำให้เด็กอายุระหว่าง 3-9 ปี มีพฤติกรรมไม่อยู่นิ่ง หรือเป็นโรคสมาธิสั้น เพิ่มขึ้น โรคสมาธิสั้นเป็นโรค ที่พบได้บ่อยในวัยเด็ก โดยเด็กจะไม่สามารถควบคุมสมาธิ และการเคลื่อนไหวของตนเองได้ และก่อให้เกิดปัญหาตามมา เช่น ผลการเรียนตกต่ำ แม้ระดับสติปัญญาจะปกติ แต่จะมีปัญหาความสัมพันธ์กับผู้อื่น
การเผยแพร่รายงานฉบับนี้ส่งผลให้ผู้บริโภคในสหภาพยุโรปตื่นตัวเป็นอย่างมาก เนื่องจากอาหารประเภท น้ำอัดลม น้ำผลไม้ ไอศกรีม ขนมหวานและเค้ก เป็นของชอบของเด็กๆ ทั้งสิ้น จนทำให้ต้องออกมาตรการแก้ไขเร่งด่วน คือ ภายในปี 2551 จะลดการใช้สีสังเคราะห์และสารกันเสียชนิดดังกล่าวในการผลิตอาหารและเครื่องดื่มจนกว่าจะมีผลพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ยืนยันที่ชัดเจนมากขึ้น
นายยุทธศักดิ์ กล่าวอีกว่า การเผยแพร่รายงานฉบับนี้ส่งผลให้สำนักความปลอดภัยอาหารแห่ง สหภาพยุโรป นำผลการศึกษาดังกล่าว มาประเมินและพิจารณาอีกครั้งว่าหากเด็กดื่มน้ำผมไม้ที่ผสมสีผสมอาหารสังเคราะห์ร่วมกับการใช้สารกันเสียโซเดียมเบนโซเอตแล้ว ก่อให้เกิดอาการสมาธิสั้นหรือไม่ หากได้ข้อสรุปที่ชัดเจน
เชื่อถือได้ว่าภายในกลางปี 2551 และจัดทำเป็นข้อคิดเห็นเสนอต่อคณะกรรมาธิการยุโรปแล้ว คาดว่าภายในระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี สหภาพยุโรป จะมีการปรับเปลี่ยนกฎ ระเบียบวัตถุเจือปนอาหาร และสีผสมอาหาร
“ผู้ประกอบการอาหารของไทยที่อาจได้รับผลกระทบ คือ ผู้ผลิตอาหารกลุ่มเครื่องดื่ม น้ำผลไม้ น้ำอัดลม ลูกอม ลูกกวาด ขนมหวาน เค้ก ผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ ขนมหวานแบบไทยๆ แยม เยลลี่ โดยเฉพาะอาหารที่มีสีเหลือง ส้ม แดง ที่ผลิตเพื่อส่งเข้าตลาดสหภาพยุโรป เนื่องจากเป็นกลุ่มสินค้าที่ต้องปรุงแต่งสีสันให้สวยงาม ดึงดูดผู้บริโภคและผู้ผลิตส่วนใหญ่มีความต้องการให้เก็บรักษาไว้ได้นาน จึงต้องมีการผสมสีสังเคราะห์กลุ่มดังกล่าวร่วมกับสารกันเสีย เช่น โซเดียมเบนโซเอต โซเดียมซอร์เบต เป็นต้น” ดร.ยุทธศักดิ์ กล่าว
นายยุทธศักดิ์ กล่าวต่ออีกว่า โซเดียมเบนโซเอต เป็นสารกันเสียที่ผู้ผลิตอาหารไทยทั้งระดับ sme และอุตสาหกรรมขนาดใหญ่นิยมใช้กันมากเพราะมีข้อดีหลายประการ คือ ราคาถูก หาง่าย ละลายน้ำได้ดีมีฤทธิ์ในการยับยั้งการเติบโตของจุลินทรีย์หลายชนิด และในฐานะที่ไทยจะก้าวสู่การเป็นครัวที่ผลิตอาหารคุณภาพและมีความปลอดภัยของโลก
ที่มา: หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย
update: 27-05-51