อาการ "ใจหาย" หลังรู้ข่าววันปิดเข้ากราบพระบรมศพ
ที่มา : เว็บไซต์คมชัดลึก
แฟ้มภาพ
น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับอาการใจหายของประชาชนหลังทราบข่าวประกาศของสำนักพระราชวังจะเปิดให้ประชาชนเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯในวันที่ 30 กันยายน 2560 เป็นวันสุดท้าย
เพื่อจัดเตรียมการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพว่า อาการดังกล่าวเป็นปฏิกิริยาทางจิตใจที่เกิดขึ้นตามปกติในผู้ที่มีความสูญเสียมีความเศร้า หรือเกิดจากสูญเสียบุคคลหรือสิ่งที่เป็นความผูกพันยึดเหนี่ยวจิตใจขาดหายไปในบางคนมีประสบการณ์การสูญเสียซ้ำแล้วซ้ำเล่าในทางสุขภาพจิตเรียกว่าประสบการณ์ที่เจ็บปวดซ้ำ(Re traumatic experience) ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วและปรับตัวปรับใจได้แล้วมาเกิดขึ้นซ้ำอีก อาการใจหายนี้เป็นเพียงกลุ่มอาการที่ยังไม่ถือว่าป่วยเป็นโรคทางจิตใจผู้ที่มีอาการ จะหายใจไม่อิ่ม หายใจไม่ทั่วท้อง บางคนอาจมีความรู้สึกว่าหัวใจเต้นผิดจังหวะ วูบวาบในใจ ตกใจ หรือแน่นที่หน้าอก จุกที่อกหรือจุกที่คอเหมือนมีอะไรมากดทับ อาการที่เกิดขึ้นจะแตกต่างกันไปตามพื้นฐานสภาพจิตใจของแต่ละคน และจะค่อยๆดีขึ้นภายใน 5- 7 วัน
น.ต.นพ.บุญเรือง กล่าวอีกว่า อาการใจหายหลังรู้ข่าว สามารถเกิดขึ้นได้กับประชาชนทุกคน กลุ่มคนที่อาจเกิดผลกระทบทางจิตใจได้มากกว่าคนทั่วไปคือกลุ่มที่จิตใจเปราะบางอยู่เดิม ได้แก่ 1.ผู้ที่มีความเครียดเป็นทุนเดิมมาก่อนอยู่แล้ว ทั้งจากสภาพเศรษฐกิจหรือสูญเสียคนรักในครอบครัว 2.ผู้ที่มีอาการซึมเศร้าหรือเป็นโรคซึมเศร้าอยู่เดิมซึ่งทั่วประเทศมีประมาณ1.5 ล้านคน และ 3.กลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรังทางกายประจำตัวเช่นโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน เป็นต้น
หากเป็นมากจนถึงขั้นรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน มีความทุกข์ทรมานในช่วงที่ยังไม่ถึงเวลาถวายพระเพลิงพระบรมศพ เช่นเครียดจนกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ปวดเมื่อย ปวดท้อง ปวดศีรษะที่หาสาเหตุไม่ได้ ควรไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลใกล้บ้านทุกแห่งเพื่อให้ได้รับการดูแลรักษาที่ถูกต้อง ประการสำคัญขอให้ผู้ที่มีโรคประจำตัวทุกโรคกินยาให้ต่อเนื่องครบจำนวนตามที่แพทย์สั่ง อย่าขาดยา เพราะยาจะช่วยควบคุมอาการให้อยู่ในเกณฑ์ปกติสามารถใช้ชีวิตได้ไม่ต่างจากคนทั่วไป
"ประชาชนทั่วไปในช่วงแรกๆหลังรู้ข่าวก็อาจเกิดอาการได้บ้าง แม้ว่าจะได้เตรียมใจมาก่อนหน้านี้แล้วก็ตาม แต่อาการจะค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆและหมดไป อย่างไรก็ดีขอให้หมั่นสังเกตสภาพจิตใจตนเองหรือบุคคลใกล้ชิด หากมีอาการวูบวาบ หายใจไม่อิ่ม ใจสั่น เป็นมากถึงขั้นนอนไม่หลับ ปวดศีรษะ หายใจไม่ทั่วท้องเกิดขึ้นนานเกิน 7 วัน จนทำงานทำการไม่ได้ ถือว่ามีความผิดปกติ ควรได้รับการช่วยเหลือทางจิตใจขอแนะนำให้ไปพบแพทย์ที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน หรือปรึกษาอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านหรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขประจำโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหรือโทรปรึกษานักจิตวิทยาทางสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ฟรีตลอด24ชั่วโมง "น.ต.นพ.บุญเรืองกล่าว
ก่อนจะถึงช่วงเวลาแห่งการถวายพระเพลิงฯ ขอแนะนำประชาชนให้ตั้งสติ เตรียมความพร้อมทั้งกายใจดังนี้
1.ตั้งใจ ตั้งสติ หมั่นทำกิจกรรมที่เป็นสาธารณกุศล เช่น การเป็นจิตอาสาช่วยในด้านต่างๆ การทำดอกไม้จันทน์ การร่วมทำบุญบริจาคหรือกิจกรรมอื่นๆตามแต่กำลังของตน โดยเฉพาะการยึดแนวปฏิบัติตามหลักเศรฐษกิจพอเพียง จะทำให้เกิดความสุขใจที่ยั่งยืน
3.ติดตามข่าวสารจากทางราชการเป็นระยะๆ โดยเฉพาะพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่าน เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ และความภาคภูมิใจแต่ตนเองและครอบครัว
4.พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายได้พัก
5.หมั่นออกกำลังกาย ทำกิจกรรมที่คลายเครียดต่างๆ
และ6.ใช้เวลาว่างทำกิจกรรมกับครอบครัวให้เป็นประโยชน์ ไม่อยู่คนเดียว
“หากเรามีความทุกข์ใจ มีอุปสรรคต่างๆในชีวิตหรือการดำเนินชีวิต ก็ขอให้มองไปที่รูปของพระองค์เสมือนพระองค์ท่านยังคอยเป็นกำลังใจให้พวกเราประชาชนชาวไทยได้ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ให้พร้อมต่อสู้สำหรับการดำเนินชีวิตต่อไป” น.ต.นพ.บุญเรืองกล่าว