อย่า ‘ปิด’ ประตูโรงเรียน
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ
แฟ้มภาพ
ทราบหรือไม่ว่า ทุกวันนี้ ประเทศไทยมี เด็ก และ เยาวชน ถูกจับจำนวน 35,000 -50,000 คนต่อปี โดยเกือบ 70 เปอร์เซ็นต์มีประวัติ Drop out ถูกให้ออกจากโรงเรียนกลางคัน และนั่นไม่ใช่แค่การหยุดการศึกษาของพวกเขาเท่านั้น เพราะการปิดประตูโรงเรียนใส่หน้าเด็กๆ เหล่านี้ ยังถือเป็นการมอบความพ่ายแพ้และสิ่งสำคัญที่น่ากลัวที่สุดคือ "เวลาว่าง" อันมากมายให้กับเด็กไปด้วย
ทิชา ณ นคร ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย)บ้านกาญจนาภิเษก แสดงความเห็นถึงการให้เด็กหนึ่งคนออกจากโรงเรียนว่า ไม่ได้ผลักแค่ร่างกาย หรือชื่อนามสกุลออกไป เพราะเมื่อความพ่ายแพ้บวกเวลาว่าง จึงอาจเท่ากับการก่อ "อาชญากรรม" ซึ่งดูเหมือนจะเป็นสมการที่แทบจะกลายเป็นสูตรสำเร็จปลายทางของเด็กๆ "เมื่อประตูโรงเรียนปิด ประตูคุกก็เปิดต้อนรับเด็กบางคนกลุ่มทันที ดังนั้น กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงยุติธรรม และอีกหลายกระทรวงต้องนำตัวเลขเด็ก Drop out มาสร้างพลังใหม่หรือมีนโยบายที่ชัดเจนว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่โรงเรียนจะไล่เด็กออกจากโรงเรียน เพราะประเทศไม่จำเป็นต้องมีครู หมอ วิศวกร จากกอาชีพเดียวทั้งหมด เนืองจากประเทศยังมีกรรมกร มีอาชีพอีกมากมายที่ไม่ต้องจบอะไรก็ได้
ดังนั้น ทำไมต้องคิดว่าเด็กทุกคนต้องจบมหาวิทยาลัย เด็กอาจจะเรียนไม่เก่ง ซึ่งเป็นปัญหาเชิงระบบแต่ปัจเจกผู้อ่อนแอเป็นผู้รับผล จึงไม่ยุติธรรม ปัญหาเด็กนับแสนคน Drop out สังคมเงียบงันไม่มีใครพูดสักคำ แต่เด็กที่Drop out ไปก่อคดีสังคมขอมาตรการ ขอบทลงโทษที่รุนแรง ซึ่งตนไม่ได้อยู่ข้างเด็กแบบไม่รู้สึกผิด แต่เมื่อเรามีระบบที่ผิดพลาดและเด็กที่อ่อนแอเป็นผู้รับผล ผู้ใหญ่ต้องทำได้อะไรได้มากกว่านี้ ไม่ใช่มาทำหน้าที่เยียวยาหลังจากที่เด็กก่อาชญากรรมไปแล้ว ฉะนั้นการไม่ให้เกิดระบบ drop out จะสามารถช่วยเด็กได้อีกจำนวนมาก" ทิชา กล่าว
ในการบรรยายพิเศษเรื่อง "การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเสี่ยง" ซึ่งสถาบันการอาชีวศึกษาภาคเหนือ 3 ร่วมกับสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชนและครอบครัว สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดอบรมพัฒนาศักยภาพผู้บริหาร และคณะครูในการออกแบบกิจกรรมและหลักสูตรการจัดการเรียนรู้เชิงบูรณาการความรู้ คู่ความดี ภายใต้โครงการเสริมสร้างสุขภาวะในสถาบันการอาชีวศึกษา : ภาคเหนือ 3 เพื่อพัฒนาระบบงานสุขภาวะในสถาบันการอาชีวศึกษาภาคเหนือแบบมีส่วนร่วมที่มีผล ทั้งต่อผู้เรียน ผู้บริหาร และครูในวิทยาลัยและเพื่อลดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ และเสริมสร้าง พฤติกรรมที่พึงประสงค์ด้านสุขภาวะในสถานศึกษาให้เป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพโดย มีสถาบันการอาชีวศึกษาภาคเหนือ 3 ในสังกัด จำนวน 8 วิทยาลัย ได้แก่ วิทยาลัยเทคนิคสุโขทัย วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุโขทัย วิทยาลัยเทคนิคเพชรบูรณ์ วิทยาลัยเทคนิคพิษณุโลก วิทยาลัยอาชีวศึกษาพิษณุโลก วิทยาลัยพณิชยการบึงพระพิษณุโลก วิทยาลัยเทคนิคอุตรดิตถ์และวิทยาลัยอาชีวศึกษาอุตรดิตถ์ เข้าร่วมที่โรงแรมเมย์ฟลาวเวอร์แกรนด์โฮเตล จ.พิษณุโลก
สุวรรณี คำมั่น นากยกสภาสถาบันการอาชีวศึกษาภาคเหนือ 3 กล่าวว่า โครงการเสริมสร้างสุขภาวะในสถาบันการอาชีวศึกษา เริ่มทำงานตั้งแต่การสำรวจพฤติกรรมเสี่ยง พฤติกรรมอันพึงประสงค์ จึงเกิดการทำงานแบบบูรณาการร่วมกันทั้งผู้บริหาร คณาจารย์ ผู้ปกครองและนักศึกษา ซึ่งเป็นการเติมเต็มพฤติกรรม ทักษะชีวิตให้กับเด็กอาชีวะ
"การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเฝ้าระวังพฤติกรรมเสี่ยงหรือการสร้างสรรค์พฤติกรรม ที่พึงประสงค์ ไม่สามารถทำได้ด้วยตัวของเราเพียงลำพัง ต้องช่วยกันทุกภาคส่วน ถ้าครู อาจารย์ พ่อแม่ ผู้ปกครอง อยากเห็นพฤติกรรมสร้างสรรค์ก็ต้องช่วยกันสร้าง ซึ่งไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงินต้องช่วยกันดูแลทำให้เกิดผลในทิศทางเดียวกัน เป้าหมายเดียวกันจึงจะประสบความสำเร็จ เพื่อจะได้เป็นตัวอย่างให้กับสถาบันอื่นๆ ที่ไม่ได้ร่วมโครงการว่า สุขภาวะในสถาบันอาชีวศึกษาจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร เนื่องจากประเด็นที่เลือกมาขับเคลื่อน เกิดจากสภาพปัญหาของแต่ละพื้นที่ทั้งเรื่องอบายมุข การมีเพศสัมพันธ์ การเคารพกติกาในเรื่องอุบัติเหตุอุบัติภัยซึ่งใช้วิธีการจัดการแตกต่างกัน ดังนั้น ปัจจัยสำคัญคือการทำร่วมกันด้วยความสมัครใจ" สุวรรณี เอ่ย
เพิ่มเติมโดย ทิชา ในฐานะที่คลุกคลีกับเด็กและเยาวชนผู้หลงผิด โดยเธอแจกแจงปัญหาว่า เพราะปัจจุบัน คนเราเลี้ยงลูกด้วยเงินมากขึ้น พ่อแม่จำนวนไม่น้อย ไม่มีโอกาสเลี้ยงลูก ด้วยตนเอง ส่งลูกไปอยู่กับปู่ย่า ตายายที่ต่างจังหวัด ทำได้แค่การส่งเงินไปให้ เมื่อลูกโตดูแลตัวเองได้พ่อแม่มารับไปอยู่ด้วย ก็เหมือนกับคนที่รู้จักตัว แต่ไม่รู้จักใจมาใช้ชีวิตด้วยกันเด็กเติบโตบนความสงสัยในคุณค่าของตนเอง ภูมิชีวิตบกพร่อง สายสัมพันธ์ผุพัง เมื่อเกิดปัญหาความไม่เข้าใจครอบครัวพังทลาย เด็กออกจากบ้านไปเป็นเด็กเร่ร่อน เธอเชื่อว่า ผลลัพธ์ที่เกิดกับเด็กในปัจจุบันเกิดจากการกระทำและไม่กระทำของผู้ใหญ่ทั้งสิ้น และยืนยันอีกด้วยว่า อาชญากรเด็กเป็นไม่ได้ด้วยตนเองแต่เป็นจากส่วนผสมที่สำคัญ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ห้องเรียน รวมถึงประเทศ