อยู่อย่างเข้าใจ “เอชไอวี” เราอยู่ร่วมกันได้

เรื่องโดย : ปรภัต จูตระกูล Team Content www.thaihealth.or.th


ให้สัมภาษณ์โดย : ศาสตราจารย์กิตติคุณนายแพทย์ ประพันธ์ ภานุภาค ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย และป๊อป (นามสมมติ) ผู้ที่ใช้ชีวิตคู่ร่วมกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี


ข้อมูลบางส่วนจาก : คู่มือรู้ทันโรคและภัยสุขภาพสำหรับประชาชน โดยสำนักสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, แผ่นพับให้ความรู้ โดยสภากาชาดไทย และหนังสือ สิ่งที่เธอต้องรู้ สิ่งที่เขาต้องรู้ โดย สสส.


ภาพประกอบโดย : นัฐพร  ชุ่มลือ Team Content www.thaihealth.or.th และแฟ้มภาพ



อยู่อย่างเข้าใจ “เอชไอวี” เราอยู่ร่วมกันได้ thaihealth


ปัจจุบันผู้ติดเชื้อเอชไอวีส่วนใหญ่มีสุขภาพที่ไม่ต่างไปจากผู้ที่ไม่มีเชื้อ  อันเนื่องมาจากการรักษาด้วยยาต้านไวรัส ซึ่งผู้ติดเชื้อเอชไอวีทุกคนสามารถเข้าถึงการรักษาได้ตามสิทธิด้านสุขภาพที่ตัวเองมี  ไม่ว่าจะเป็นสิทธิประกันสังคม สิทธิข้าราชการ หรือสิทธิบัตรทอง ผู้ติดเชื้อที่เข้าถึงการรักษาจึงสามารถใช้ชีวิตได้เหมือนคนที่ไม่มีเชื้อเอชไอวี


“ผู้ที่มีเชื้อเอชไอวีที่กินยาต้านไวรัสเกิน 6 เดือนขึ้นไป และตรวจไม่เจอพบเชื้อไวรัสในเลือด คน ๆ นั้นจะไม่สามารถส่งต่อเชื้อไปสู่ผู้อื่นได้” ศาสตราจารย์กิตติคุณนายแพทย์ ประพันธ์ ภานุภาค ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า ในทางการแพทย์เรียกกระบวนการนี้ว่า U = U โดย U ตัวแรกมาจาก Undetectable (ตรวจไม่พบ) ส่วน U ตัวที่สองมาจาก Untransmittable (ไม่ถ่ายทอด) ดังนั้น U = U จึงหมายความว่า เมื่อตรวจไม่เจอ (เชื้อเอชไอวี) ก็ไม่สามารถถ่ายทอดเชื้อสู่ผู้อื่นได้ 


ทั้งนี้ จากการศึกษาทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย  ได้เก็บข้อมูลจากผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่กินยาต้านไวรัสเป็นประจำจนตรวจไม่พบเชื้อไวรัสในกระแสเลือด และมีคู่ที่ไม่ติดเชื้อ โดยที่มีเพศสัมพันธ์ทั้งแบบสวมถุงยางอนามัยและไม่สวมถุงยางอนามัยกับคู่ พบว่า


  • ไม่พบการติดเชื้อเพิ่มจากคู่ที่ใช้ถุงยางอนามัยเป็นประจำ
  • ไม่พบการติดเชื้อเพิ่มจากคู่ที่ไม่สวมถุงยางอนามัยแต่กินยาต้านเป็นประจำ
  • พบการติดเชื้อของคู่ที่ไปมีเพศสัมพันธ์กับผู้อื่นที่ไม่รู้ผลเลือด ซึ่งหมายถึงไม่ได้ติดเชื้อจากคู่ที่เป็นผู้ติดเชื้อที่กินยาต้านไวรัสเป็นประจำ


“คนที่ติดเชื้อเอชไอวี ส่วนใหญ่ติดมาจากคนที่ไม่รู้ว่าตนเองมีเชื้อ และไม่ได้ป้องกัน” ศ.กิตติคุณ นพ.ประพันธ์ เพิ่มเติมว่า “การที่ผู้ติดเชื้อกินยาต้านไวรัสเป็นประจำ ทำให้พวกเขาเหล่านี้ปลอดภัยยิ่งกว่าคนที่ไม่เคยตรวจเลือดและไม่รู้ผลเลือดตนเอง ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่คนในสังคมจะรังเกียจผู้ติดเชื้อ แต่ควรสนับสนุนให้ทุกคนไปตรวจเลือดมากกว่า”


‘เอชไอวี’ เชื้อร้ายกำราบได้ thaihealth


ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเอชไอวี/เอดส์


  • เอชไอวี (HIV Human Immunodeficiency Virus) หมายถึงเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ที่เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะไปทำลายเม็ดเลือดขาวซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันโรคของร่างกาย หากมีไวรัสเอชไอวีในปริมาณที่มาก ภูมิคุ้มกันในร่างกายก็จะน้อยลง  ทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  • เอดส์ (AIDS ย่อมาจาก Acquired Immune Deficiency Syndrome) เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจาก ระบบภูมิต้านทานของร่างกายเสื่อมลง เนื่องจากได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวีเข้าสู่ร่างกาย โดยจะไม่เกิดอาการเจ็บป่วยในทันที แต่จะทำลายภูมิคุ้มกันไปเรื่อย ๆ จนไม่สามารถควบคุมหรือจัดการกับเชื้อโรคบางอย่าง ทำให้เกิดโรคฉวยโอกาส เช่น วัณโรค เชื้อราเยื่อหุ้มสมอง ฯลฯ ซึ่งทุกโรค รักษาให้หายได้
  • ผู้ติดเชื้อเอชไอวี หมายความว่า ผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวีเข้าสู่ร่างกาย แต่ร่างกายยังแข็งแรง และสามารถใช้ชีวิตได้เช่นคนทั่วไป  โดยเฉพาะผู้ที่กินยาต้านเอชไอวีสม่ำเสมอ และดูแลป้องกันไม่ให้ได้รับเชื้อเพิ่ม  
  • ผู้ป่วยเอดส์ หมายความว่า ผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องและมีความเจ็บป่วยด้วยโรคฉวยโอกาส ซึ่งภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องและความเจ็บป่วยเหล่านี้สามารถดูแลรักษาให้หายได้
  • ภูมิคุ้มกัน หมายความว่า กลไกการป้องกันตนเอง เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งจะทำหน้าที่ต่อต้านหรือทำลายสิ่งแปลกปลอม โดยระบบการทำงานของเซลเม็ดเลือดขาว
  • โรคฉวยโอกาส หมายความว่า โรคที่เกิดขึ้นเนื่องจากร่างกายมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง  จนไม่สามารถควบคุมโรคที่โดยทั่วไปจะไม่เกิดกับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันปกติ เช่น วัณโรค ปอดอักเสบชนิด PCP(Pneumocystis Carinii Pneumonia) หรือเชื้อราเยื่อหุ้มสมอง
  • ไวรัสโหลด (Viral load) คือปริมาณไวรัสในเลือด ซึ่งในที่นี้หมายถึงปริมาณเชื้อเอชไอวีในเลือด การมีเชื้อเอชไอวีในเลือดมากอาจมีผลให้จำนวน CD 4 ลดลง(CD 4 คือเม็ดเลือดขาวกลุ่มที่จัดระบบภูมิต้านทานการติดเชื้อ) ผู้ติดเชื้อที่รับยาต้านไวรัสสม่ำเสมอ จะพบว่ามีจำนวนของ CD 4 เพิ่มขึ้นและปริมาณไวรัสลดลง นั่นคือ  การทานยาต้านเป็นประจำ จะทำให้เชื้อเอชไอวีในเลือดมีน้อยลง


ศ.กิตติคุณ นพ.ประพันธ์ ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า 'เอชไอวี' สามารถติดต่อได้เพียง 2 ช่องทางหลักเท่านั้น คือ


  1. การมีเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพศสัมพันธ์ที่มีการสอดใส่โดยไม่ได้ป้องกัน (ด้วยถุงยางอนามัย) ทั้งทางช่องคลอดและช่องทวาร ชายกับหญิง และชายกับชาย (เพราะชายหญิงก็สามารถมีเพศสัมพันธ์ทางทวารได้)
  2. ติดต่อทางเลือด ซึ่งมีเพียงการใช้เข็มฉีดยาเสพติดร่วมกับผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี และการติดเชื้อจากแม่(ที่เป็นผู้ติดเชื้อ)สู่ลูกเท่านั้น  ซึ่งปัจจุบันถ้าแม่ฝากครรภ์และได้รับยาต้านไวรัสเอชไอวีต่อเนื่อง ก็จะทำให้ทารกลดโอกาสเสี่ยงที่จะติดเชื้อเอชไอวีลงเหลือน้อยกว่า 2% 


‘เอชไอวี’ เชื้อร้ายกำราบได้ thaihealth


  เอชไอวี ป้องกันได้ เอดส์รักษาได้  


การป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีจากเพศสัมพันธ์ ได้แก่


  1. การใช้ถุงยางอนามัย เป็นวิธีป้องกันที่มีค่าใช้จ่ายน้อย มีประสิทธิภาพสูง  และสามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ เช่น หนองใน ซิฟิลิส รวมทั้งป้องกันมะเร็งปากมดลูก ได้ด้วย  
  2. การกินยาเพร็พ (PrEP ย่อมาจาก Pre Exposure Prophylaxis) ที่สามารถป้องกันเชื้อเอชไอวี ในกลุ่มผู้ที่ไม่มีเชื้อแต่มีความเสี่ยงสูง แต่ตัวยานี้ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศโรคอื่น ๆ ได้ (สามารถอ่านเรื่องของยาเพร็พและเป๊ปได้ที่ “เพร็พ-เป๊ป กัน-แก้ เอชไอวี”  http://llln.me/CxRYSZn)
  3. อื่นๆ เช่น การขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชาย การใช้ถุงยางอนามัยสตรี (ไม่มีจำหน่ายในประเทศไทย) เป็นต้น


อยู่อย่างเข้าใจ “เอชไอวี” เราอยู่ร่วมกันได้ thaihealth


  คำบอกเล่าจากการใช้ชีวิตคู่ร่วมกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี  


ป๊อป (นามสมมติ) เผยประสบการณ์ที่รู้ว่าคนรักของตนเองติดเชื้อเอชไอวี โดยตัดสินใจว่า หลังจากที่รู้ก็ตัดสินใจว่าจะลองให้โอกาสคบ เพราะตนเองมองว่า คนทั่วไปเมื่อรู้ว่าแฟนติดเชื้อเอชไอวี  อาจไม่ให้โอกาสในการคบต่อ แต่ตนอยากจะให้โอกาสกับแฟน โดยได้เริ่มศึกษาและหาข้อมูลเกี่ยวกับเชื้อเอชไอวีและตั้งใจจะใช้ชีวิตแบบปกติกับคนรักให้นานที่สุด


“ผมไม่ได้ดูแลอะไรเขาเป็นพิเศษ เพราะเขาเองก็ดูแลตัวเองดี กินยาต้านเชื้ออยู่เป็นประจำ ซึ่งผมมองว่าการทำตัวเป็นปกติและใช้ชีวิตให้ปกติที่สุดเป็นสิ่งที่ทำให้แฟนของผมไม่คิดกังวลมาก” 

ป๊อป กล่าวทิ้งท้าย


‘เอชไอวี’ เชื้อร้ายกำราบได้ thaihealth


ทั้งนี้ผู้ที่ต้องการข้อมูลเกี่ยวกับเอชไอวี  หรือปรึกษาปัญหาสุขภาวะทางเพศ สามารถขอคำปรึกษาได้ที่ สายด่วนปรึกษาเอดส์ โทร. 1663 ทุกวันในเวลา 09.00-21.00 น.หรือที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ 1663 สายด่วนปรึกษาเอดส์และท้องไม่พร้อม https://www.facebook.com/1663telephonecsg โดยมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) หรือเว็บไซต์เลิฟแคร์สเตชั่น www.lovecarestation.com ผ่านทางห้องแชท  ผู้ที่ต้องการทราบผลเลือดของตนเองสามารถติดต่อขอรับคำปรึกษาและตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวีได้ฟรีปีละ 2 ครั้ง ได้ที่โรงพยาบาลทุกแห่งภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยแสดงบัตรประชาชน  และสามารถรับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสได้ฟรีตามสิทธิ  ส่วนเยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี สามารถรับบริการปรึกษาและตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีได้โดยไม่ต้องขอคำยินยอมจากผู้ปกครอง


‘เราสามารถอยู่ร่วมกันในสังคมได้


หากเราเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน


 



อ่านบทความเกี่ยวกับโรคเอดส์และเชื้อเอชไอวีเพิ่มเติมได้ที่


Shares:
QR Code :
QR Code