ห่วงเด็กจมน้ำช่วงปิดเทอมใหญ่

ที่มา : เว็บไซต์กระทรวงสาธารณสุข


ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ


ห่วงเด็กจมน้ำช่วงปิดเทอมใหญ่  thaihealth


แฟ้มภาพ


“กระทรวงสาธารณสุข” ห่วงเด็กจมน้ำช่วงปิดเทอมใหญ่ เผยที่ผ่านมาเสียชีวิตเกือบ 200 ราย ดึงครอบครัว ชุมชน ร่วมป้องกันเด็กจมน้ำ


ที่กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นายแพทย์เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมควบคุมโรค พร้อมนายแพทย์สุเทพ เพชรมาก รองอธิบดีกรมควบคุมโรค  และนายพิสิษฐ์ พงษ์ศิริศุภกุล มูลนิธิพุทธธรรม 31 (ฮุก 31) จ.นครราชสีมา ร่วมการแถลงข่าววันรณรงค์ป้องกันเด็กจมน้ำ ในหัวข้อ “บ้านเริ่ม ชุมชนร่วม…ป้องกันเด็กจมน้ำ”  พร้อมชมการจำลองสถานการณ์และสาธิตวิธีการเอาชีวิตรอดในน้ำ วิธีการช่วยเหลือคนตกน้ำ และสาธิตการปฐมพยาบาลคนจมน้ำ จากครูและนักเรียนโรงเรียนวัฒนพฤกษา จ.นนทบุรี และสมาคมเพื่อช่วยชีวิตทางน้ำ


นายแพทย์เจษฎา กล่าวว่า การจมน้ำเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เด็กไทยเสียชีวิตสูงเป็นอันดับหนึ่งมาตลอด โดยปี 2559 มีเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี จมน้ำเสียชีวิต 699 คน โดยช่วงปิดเทอม 3 เดือน (มีนาคม-พฤษภาคม) พบเด็กจมน้ำเสียชีวิตสูงถึง 197 คน ซึ่งลดลงกว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ที่มีเด็กจมน้ำเสียชีวิตเฉลี่ย 348 คน โดยที่ในบางปีมีจำนวนสูงถึงเกือบ 450 คน ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุข จึงได้กำหนดให้วันเสาร์แรกของเดือนมีนาคมของทุกปีเป็นวันรณรงค์ป้องกันเด็กจมน้ำ ซึ่งได้ร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายต่างๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน ท้องถิ่น และจิตอาสา จัดกิจกรรมรณรงค์ป้องกันการจมน้ำอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2552


ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยในเรื่องนี้ และได้เน้นย้ำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแหล่งน้ำต้องมีการป้องกัน เพราะส่วนใหญ่เด็กจมน้ำในแหล่งน้ำตามธรรมชาติ ควรมีป้ายเตือนหรือที่กั้น และต้องมีการอบรมเด็ก ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นมาตรการที่ต้องเริ่มจากบ้าน และชุมชนต้องเข้ามามีส่วนร่วม อีกมาตรการคือเรื่องการปฐมพยาบาลคนจมน้ำที่เคยมีการเผยแพร่ภาพและคลิปผ่านทาง Social Network เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือคนจมน้ำด้วยวิธีการจับเด็กที่จมน้ำห้อยหัว หรืออุ้มพาดบ่า หรือกระแทกท้อง เพื่อเอาน้ำออก ซึ่งวิธีการต่างๆ เหล่านั้นเป็นวิธีที่ผิด และอาจเป็นการเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเสียชีวิต เพราะนอกจากจะทำให้คนจมน้ำได้รับการปฐมพยาบาลที่ถูกวิธีล่าช้าออกไปแล้ว น้ำที่ออกมาเป็นน้ำที่ออกมาจากท้อง ซึ่งอาจสำลักกลับเข้าไปในปอดได้อีก ทั้งนี้ทางกระทรวงสาธารณสุขได้มีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์และดำเนินงานในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง


ด้านนายแพทย์สุเทพ กล่าวเสริมว่า ในปี 2560 นี้ ได้กำหนดเป้าหมายลดอัตราการเสียชีวิตจากการจมน้ำของเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ให้ลดลงเหลือ 5.0 ต่อประชากรเด็กแสนคน หรือน้อยกว่า 600 คน ซึ่งปีนี้ได้กำหนดหัวข้อที่ใช้ในการรณรงค์ คือ“บ้านเริ่ม ชุมชนร่วม…ป้องกันเด็กจมน้ำ” โดยมีแนวคิดให้ครอบครัว(บ้าน) เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความปลอดภัยทางน้ำ และชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงาน เพื่อให้เกิดความเข้มแข็งและชุมชนพึ่งตนเองได้ 


ซึ่งการป้องกันเด็กจมน้ำสามารถเริ่มทำได้จากที่บ้าน เพราะเด็กเล็กจะจมน้ำในภาชนะที่อยู่ภายในบ้าน ที่มีน้ำสูงเพียง 1-2 นิ้ว เช่น เทน้ำทิ้งหรือปิดฝาภาชนะใส่น้ำทุกครั้งหลังใช้งาน ทุกครัวเรือนที่มีเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปีควรจัดให้เด็กอยู่ในคอกกั้นเด็ก ไม่ควรให้เด็กคลาดสายตา ส่วนในกลุ่มเด็กโต มักพบจมน้ำในแหล่งน้ำที่อยู่ในชุมชน จากข้อมูลของกรมควบคุมโรค พบว่า เกือบครึ่งหนึ่งของเด็กที่จมน้ำจะเสียชีวิต ณ จุดเกิดเหตุ เพราะตั้งแต่เด็กตกลงไปในน้ำจนจมอยู่ใต้น้ำ เวลาเพียง 4 นาที ก็ทำให้สมองขาดออกซิเจนและเสียชีวิตได้  ดังนั้นการป้องกันก่อนเกิดเหตุจึงสำคัญที่สุด อย่างไรก็ตาม เมื่อตกน้ำจมน้ำแล้ว มีหลายกรณีที่เราพบว่า คนจมน้ำรอดชีวิตเพราะได้รับการช่วยเหลือและปฐมพยาบาลที่เร็วและถูกวิธี


นอกจากนี้กรมควบคุมโรค ยังได้จัดให้มีกิจกรรมรณรงค์โดยการประกวดสปอตวิทยุเพื่อนำไปใช้สื่อสารในวงกว้างตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม โดยผ่านสถานีวิทยุชุมชน หอกระจายข่าว หรือรถกระจายเสียง เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายระดับชุมชนซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงหลัก


ส่วนนายพิสิษฐ์ พงษ์ศิริศุภกุล มูลนิธิพุทธธรรม 31 (ฮุก 31) กล่าวว่า ชุมชนต้องเข้ามามีส่วนร่วมดำเนินการ เช่น การสร้างรั้วหรือติดป้ายคำเตือน การจัดให้มีอุปกรณ์ช่วยเหลือไว้บริเวณแหล่งน้ำเสี่ยง การเฝ้าระวัง/สื่อสารประชาสัมพันธ์ในชุมชน การสอนให้เด็กมีทักษะการเอาชีวิตรอดในน้ำและวิธีการช่วยเหลือที่ถูกต้อง ซึ่งทั้งหมดเป็นการดำเนินงานภายใต้ทีมผู้ก่อการดี (Merit Maker) ป้องกันการจมน้ำ

Shares:
QR Code :
QR Code