หาแนวทางส่งเสริมสุขภาพเด็กช่วงเรียนออนไลน์ ช่วยพัฒนาร่างกายและสมอง
ที่มา : สำนักข่าวสร้างสุข
ภาพประกอบจาก สสส.
สสส. จับมือ สพฐ. และ TPAK หาแนวทางส่งเสริมสุขภาพเด็กช่วงเรียนออนไลน์ ชี้ในวิกฤตโควิดเด็กขยับร่างกายเพียงพอลดลงเหลือแค่ 17% ผลสำรวจย้ำชัด เด็กปวดตา เครียด การบ้านท่วม นอนน้อย ขาดกิจกรรมทางกาย หมอเด็กห่วงกินอาหารตามใจ ทำให้เด็กอ้วน แนะครอบครัวสร้างปฏิสัมพันธ์เชิงบวก ชวนเด็กทำงานบ้าน-เล่นกีฬา ช่วยพัฒนาร่างกายและสมอง
ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ สสส. กล่าวว่า เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของทุกคนเป็นวงกว้าง รวมถึงการเรียนออนไลน์ของเด็กๆ สสส. จึงร่วมกับศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย (TPAK) สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล จัดเสวนาออนไลน์ “ทราบแล้วเปลี่ยน” แนวทางส่งเสริมสุขภาพเด็กในช่วงเรียนออนไลน์
ซึ่งข้อมูลการศึกษาของ TPAK พบว่า เด็กไทยมีพฤติกรรมเนือยนิ่งมากว่า 13 ชั่วโมงต่อวัน ยิ่งในสถานการณ์โควิด-19 พบว่า เด็กมีพฤติกรรมเนือยนิ่งเพิ่มขึ้นเป็น 14 ชั่วโมงต่อวัน เพราะส่วนใหญ่ต้องเรียนออนไลน์และนั่งอยู่หน้าจอทั้งวัน ขณะที่องค์การอนามัยโลกแนะนำให้เด็กต้องขยับร่างกาย 60 นาทีต่อวัน ทั้งนี้ 10 ปีที่ผ่านมาพบว่า เด็กไทยมีกิจกรรมทางกาย การเล่น หรือการเคลื่อนไหวร่างกายที่เพียงพอ เฉลี่ย 26% แต่ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ตั้งแต่ปี 2563 สถานการณ์ดังกล่าวยิ่งน่าเป็นห่วงมากยิ่งขึ้น คือ เด็กไทยมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอลดลงเหลือเพียง 17%
“การไม่ขยับร่างกาย หากไม่เริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจะส่งผลต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้น เเละในระยะยาวมีผลต่อการเรียนรู้เเละเจริญเติบโต เด็กอาจติดเป็นนิสัยในอนาคต สสส. จึงแนะนำให้ในชั่วโมงเรียนการเรียนควรให้มีช่วงพักเพื่อเข้าห้องน้ำ หรือเปลี่ยนอิริยาบถ ได้เล่นผ่อนคลาย และเมื่อเลิกเรียน ควรมีกิจกรรมในบ้านร่วมกัน เช่น ทำงานบ้าน ออกกำลังกาย หรือแม้แต่การเล่นของเด็กๆ ก็ช่วยเสริมสร้างร่างกาย จิตใจ และพัฒนาสมอง ถือเป็นโอกาสดีที่ครอบครัวจะสร้างปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน ใกล้ชิดกันมากขึ้น นอกจากนี้ สสส. กระทรวงศึกษา เเละกระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมทำชุดความรู้ “คู่มือการจัดการโรงเรียน รับมือโควิด-19” ซึ่งขณะนี้มียอดดาวน์โหลดนับล้านครั้ง สามารถนำไปปรับใช้” ดร.นพ.ไพโรจน์ กล่าว
ผศ.ดร.ปิยวัฒน์ เกตุวงศา หัวหน้าศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายฯ กล่าวว่า จากการสำรวจข้อมูลผ่านระบบออนไลน์ เพื่อรวบรวมข้อมูลในประเด็นเกี่ยวกับพฤติกรรมและผลกระทบจากการเรียนออนไลน์ และการจัดการด้านสุขภาพ ของนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 1 – ปริญญาตรี ร่วมตอบแบบสำรวจทั้งหมด 243 คน เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา พบ 8 อันดับสูงสุดของปัญหาที่นักเรียนประสบในช่วงการเรียนออนไลน์ ได้แก่ 1.มีอาการปวดตา/ตาอ่อนล้า/ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ/ปวดหลัง/ปวดคอและบ่าไหล่ และพฤติกรรมเนือยนิ่ง 79% 2.เครียด วิตกกังวล โดยเฉพาะนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เตรียมศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 และมัธยมศึกษาปีที่ 6 เตรียมศึกษาต่อมหาวิทยาลัย เพราะกังวลว่าจะไม่มีโรงเรียนที่ดีรับเข้าเรียน 74.9%
3.จำนวนการบ้านมากขึ้น จนส่งผลกระทบต่อเวลาในการพักผ่อน/การนอนหลับในแต่ละวัน 71.6% 4.มีความรู้สึกไม่อยากเรียน ร้อยละ 68.3% 5.ห่วงค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น เช่น ค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ต 66.3% 6.ขาดกิจกรรมทางกาย ออกกำลังกายน้อยลง 58% 7.สภาพแวดล้อมที่บ้านไม่เอื้ออำนวยทำให้ขาดสมาธิ 57.2% และ 8. รับประทานอาหารไม่ตรงเวลา 56%
ผศ.พญ. แก้วตา นพมณีจำรัสเลิศ รองผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล และกุมารแพทย์เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรมเด็ก กล่าวว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเด็กทั้งทางร่างกาย จิตใจ และสุขภาพของสมอง จากการเรียนออนไลน์พบว่า เด็กอยู่กับหน้าจอมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อสายตาที่กะพริบตาน้อยลง ทำให้ตาแห้ง มีอาการปวดตา นั่งนาน จะปวดเมื่อยตัว ด้านพฤติกรรมสุขภาพส่งผลกระทบทั้งเรื่องการกิน การนอน สามารถกินได้ตลอดเวลา หากผู้ปกครองไม่ได้ใส่ใจเรื่องคุณภาพอาหาร อาจส่งผลให้เด็กเกิดภาวะอ้วนได้ ซึ่งหากเด็กอ้วนแล้วนะนำไปสู่การเกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิต ไขมันในเลือดสูง
การแก้ไขปัญหาที่สำคัญ คือ การมีปฏิสัมพันธ์ในครอบครัวต้องเป็นไปในเชิงบวก พ่อแม่ต้องจัดสรรเวลาทำกิจกรรมร่วมกับลูกในช่วงที่ลูกต้องเรียนออนไลน์ พ่อแม่ต้องทำงานที่บ้าน ความเข้มแข็งทางจิตใจของพ่อแม่ จะทำให้เด็กมีพลังในการลุกขึ้นสู้ ดังนั้น การพูดคุยสื่อสารกับเด็กจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เด็กเข้มแข็งและเติบโตไปได้ ส่วนของโรงเรียนควรมีนโยบายลดเวลาเรียน เพิ่มรูปแบบกิจกรรมเพื่อให้เด็กมีการเคลื่อนไหวมากขึ้น จัดตารางเรียนให้เหมาะจัดครูไปเยี่ยมบ้านนักเรียนในกรณีที่ผู้ปกครองของนักเรียนไม่มีเวลา
นายสนิท แย้มเกษร รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ตั้งแต่เกิดการระบาดโควิด-19 สพฐ. ได้ทำงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข และ สสส. มาโดยตลอด ขณะนี้มีโรงเรียนที่มีการเรียนการสอนออนไลน์ประมาณ 50-60% จากผลสำรวจพบว่า ในโรงเรียนใหญ่ ๆ ทั้งเด็กมัธยมศึกษาตอนต้นและมัธยมศึกษาตอนปลาย มีความสุขกับการเรียนออนไลน์ แต่ในความเป็นจริงการเรียนออนไลน์ไม่ได้เหมาะสมกับทุกพื้นที่ อาทิ พื้นที่ห่างไกล หรือเด็กกลุ่มเปราะบาง ยากไร้ ดังนั้น นโยบายเรื่องการเรียนการสอนได้มีการดำเนินการสั่งการแล้วให้มีการจัดลำดับความสำคัญ แจ้งให้ครูสั่งการบ้านให้น้อยลง ลดขั้นตอนต่างๆ เช่น การประเมินผล และโรงเรียนจะต้องมีการบูรณาการการให้การบ้านกับนักเรียน
อีกด้านหนึ่ง กระทรวงศึกษาธิการพยายามลดภาระของผู้ปกครอง ด้วยการจัดสรรเงินอาหารกลางวันคนละ 20 บาทต่อวัน ส่งตรงถึงผู้ปกครองเพื่อนำเงินที่ได้ไปจัดหาซื้อหาอาหารให้เด็ก และได้มีการเปลี่ยนนมพาสเจอไรซ์ มาเป็นนมยูเอชที เพื่อสะดวกในการขนส่งและเก็บไว้ได้นาน ส่วนเรื่องการเยียวยาผู้ปกครองขณะนี้ได้มีการลดค่าเทอม และรัฐให้เงินอุดหนุนเด็กนักเรียนคนละ 2,000 บาท