หวัดดุชิดซ้าย “เอดส์กลายพันธุ์” ร้ายตัวจริง!!

ชี้ เชื้อแพร่ง่าย หวั่นดื้อยา

 

 หวัดดุชิดซ้าย “เอดส์กลายพันธุ์” ร้ายตัวจริง!!

          ขณะที่ ไวรัส ก่อโรคไข้หวัดใหญ่ กำลังเขย่าขวัญชาวโลก อันเนื่องจากการ กลายพันธุ์ เจ้าไวรัสที่ก่อโรคร้ายอีกชนิดหนึ่งก็เพิ่มดีกรีคุกคามชีวิตมนุษยชาติ โดยเริ่มที่ไทย มากขึ้น – ร้ายขึ้น อย่างเงียบเชียบ…

 

          กว่าจะถูกค้นพบและเป็นข่าวขึ้นมา…ก็น่ากลัวยิ่งขึ้นแล้ว…มันคือ ไวรัสเอดส์กลายพันธุ์ที่ร้ายกว่าไวรัสหวัดใหญ่!!

 

          เอดส์ (aids)” หรือ ภูมิคุ้มกันบกพร่องซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (hiv) เดิมก็มีมากกว่า 1 สายพันธุ์อยู่แล้ว ล่าสุดทีมวิจัยโรงพยาบาลศิริราชได้ตรวจพบหญิงไทย 2 รายติดเอดส์สายพันธุ์ผสม สายพันธุ์ใหม่ ที่ไม่เคยพบมาก่อน อีกทั้งยังพบถึง 2 สายพันธุ์ใหม่ คือ สายพันธุ์เอจี/ดี (ag/d) และ สายพันธุ์เออี/จี (ae/g) ซึ่งที่ผ่านมานั้นเอดส์สายพันธุ์จีกับดีส่วนใหญ่จะพบในทวีปแอฟริกา โดยเฉพาะในไนจีเรีย ส่วนสายพันธุ์ในไทยส่วนใหญ่จะเป็นเอ/อี (a/e) ดังนั้น การค้นพบนี้จึงน่ากังวล!!

 

          ทั้งนี้ ข้อมูลจากงานสัมมนาระดับชาติเรื่องโรคเอดส์ ครั้งที่ 12 ปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อเอดส์ทั่วโลกราว 33.2 ล้านคน เป็นผู้ใหญ่ประมาณ 30.8 ล้านคน มีผู้หญิงติดเชื้อ 15.4 ล้านคน เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ประมาณ 2.5 ล้านคน และคาดว่าจะมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 2.5 ล้าน คนทั่วโลก คาดว่าจะมีเด็กวัยรุ่นอายุระหว่าง 15-24 ปี ติดเชื้อเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 40

 

          สำหรับในประเทศไทย ในปี 2552 คาดการณ์ว่ามีผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์ 1,127,168 ราย มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มราว 11,753 ราย

 

          กล่าวสำหรับเอดส์ 2 สายพันธุ์ใหม่ที่พบในไทย แม้ทางกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข จะระบุในเบื้องต้นประมาณว่า ไม่ได้ร้ายแรงกว่าสายพันธุ์ปกติ ที่เคยพบ สามารถใช้ยาต้านไวรัสที่มีอยู่แล้วได้ แต่กระนั้น…การเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น การป้องกันการแพร่ระบาดของเอดส์ในไทย ทั้งสายพันธุ์เดิม และโดยเฉพาะสายพันธุ์ใหม่ ก็เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ทั้งในส่วนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และรวมถึงประชาชนคนไทยด้วย

 

          กับเรื่องนี้ รศ.ดร.วสันต์ จันทราทิตย์ หัวหน้าหน่วยไวรัสวิทยา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความรู้ความเข้าใจผ่าน สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์ว่า… การพบไวรัสเอชไอวี 2 สายพันธุ์ใหม่ในไทยคือเอจี/ดีกับเออี/จีนั้น ที่จริงก็ถือว่าเป็นสิ่งปกติที่เกิดขึ้นได้ในกระบวนการทางจุลชีววิทยาการกลายพันธุ์ของไวรัส ซึ่งกับเอดส์สาย พันธุ์ประจำถิ่นของไทยสายพันธุ์เก่าอย่างเอ/อี และรวมถึงสายพันธุ์บี (b) จะว่าไปแล้วสายพันธุ์เก่าดั้งเดิมอย่างเอ/อีถือว่าน่ากลัวและดุกว่าทั้ง 2 สายพันธุ์ใหม่ที่ค้นพบ

 

          แต่สิ่งที่ทุกฝ่ายต้องกังวลก็คือเรื่องการผสมข้ามสายพันธุ์ไปมามากขึ้นไปอีก เพราะอาจจะทำให้เชื้อไวรัสมีประสิทธิภาพในการต่อต้านหรือ ดื้อต่อยาต้านไวรัสมากขึ้น!!

 

          หัวหน้าหน่วยไวรัสวิทยา ม.มหิดล แจกแจงถึงระดับความรุนแรงของเชื้อเอชไอวีแต่ละสายพันธุ์ ต่อไปว่า…ในอดีตการระบุความรุนแรงของเอดส์แต่ละสายพันธุ์ จะดูที่ อัตราการเสียชีวิต จากระยะเวลานับตั้งแต่ผู้ป่วยได้รับเชื้อเข้าไปในร่างกาย โดยสายพันธุ์เอ/อีจะเป็นสายพันธุ์ที่ดุกว่าสายพันธุ์บี คือ เมื่อได้รับเชื้อแล้วจะมีอัตราการเสียชีวิตภายใน 8 ปี ขณะที่สายพันธุ์บีอยู่ที่ 11 ปี นับตั้งแต่รับเชื้อเข้าไป

 

          แต่ในปัจจุบันใช้วิธีเดิมไม่ได้แล้ว ต้องดูกันที่เรื่องของอัตราการดื้อยาแทน ซึ่งโดยปกติเอชไอวีตามธรรมชาติจะไม่ดื้อยา แต่จะดื้อยาก็ต่อเมื่อใช้ยาต้านไวรัส ซึ่งเมื่อใช้แล้วเกิดการหยุดยา จีโนม หรือส่วนของโครโมโซมในบางตำแหน่งของไวรัส จะเกิดปฏิกิริยาเปลี่ยนแปลง ทำให้เกิดการดื้อยา แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ควรใช้ยาต้าน เพราะในทางการแพทย์เมื่อแพทย์ผู้รักษาตรวจพบเชื้อก็จำเป็นต้องให้ยาต้าน เพื่อควบคุมการแพร่กระจาย ดังนั้น เป้าหมายในการรักษาด้วยการให้ยาต้านคือการควบคุมจำนวนของเชื้อนั่นเอง

 

          ทั้งนี้ กับเอดส์ 2 สายพันธุ์ใหม่ ในเบื้องต้นทางกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข คาดว่าการดื้อยาน่าจะอยู่ที่ประมาณ 10% เช่นเดียว กับสายพันธุ์เดิม อย่างไรก็ตาม รศ.ดร.วสันต์ชี้ว่า… ถ้าเชื้อสายพันธุ์ใหม่นี้เกิดการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างกันไปมา และระหว่างสายพันธุ์เก่าดั้งเดิม (สายพันธุ์เอ/อี กับสายพันธุ์บี) เชื้อก็อาจจะมีประสิทธิภาพในการต่อต้านยาหรือดื้อยามากยิ่งขึ้น ซึ่งหากเป็นเช่นที่ว่านี้ก็ยิ่งน่าเป็นห่วง!!

 

          เพราะเมื่อเกิดการแพร่กระจาย ก็จะไม่สามารถใช้ยาต้านสูตรเก่าได้อีกต่อไป แต่ต้องใช้ยาต้านสูตรใหม่ที่รุนแรงกว่าแทน ซึ่งก็ย่อมจะเป็นการเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายมากขึ้น ทั้งกับตัวผู้ป่วยและภาครัฐที่ดูแลรับผิดชอบ รวมถึงจะมีปัญหาเรื่องการเข้าถึงยาต้านไวรัสตัวใหม่ด้วย!!

 

          รศ.ดร.วสันต์ยังระบุทิ้งท้ายอีกว่า…หากเกิดการผสมข้ามสายพันธุ์ไปมาจนในตัวเชื้อเอดส์มีสายพันธุ์มากขึ้น เรื่องนี้จะมีผลกระทบค่อนข้างมาก ซึ่งสมมุติว่าค่าใช้จ่ายยาต้านตัวเดิมที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันอยู่ที่ 1,000 บาทต่อเดือน ถ้ามีการดื้อยาจากการกลายพันธุ์จนยาตัวเดิมใช้ไม่ได้ ก็ต้องใช้ยาตัวใหม่ที่จะมีราคาแพงกว่า ซึ่งราคาที่แพงขึ้นจากเดิมนั้น น่าจะอยู่ที่ประมาณ 2 – 9 เท่า เมื่อย้อนดูสถิติผู้ติดเชื้อ หรือดูแค่เฉพาะจำนวนผู้ที่ได้รับยาต้านอยู่ในปัจจุบันแล้ว (ประมาณ 2 แสนราย) ก็ ต้องใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นอีกมหาศาล

 

          ลำพังสายพันธุ์เดิม ๆ ก็ ร้ายสุดๆอยู่แล้ว…ดังที่ทราบกัน เอดส์กลายพันธุ์ จึงยิ่งร้าย…หวัดใหญ่พันธุ์ใหม่น่ะชิดซ้าย และทั้งเอดส์เก่า – เอดส์ใหม่…ก็ล้วนเป็นเพชฌฆาตทั้งนั้น !!!

 

 

 

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

 

 

update 12-06-52

อัพเดทเนื้อหาโดย : กันทิมา ลีจันทึก

 

 

 

Shares:
QR Code :
QR Code