“หลุมดำพนัน” ดึงเด็กตกเป็นเหยื่อจอตู้
ภาพเยาวชนจำนวนมากนั่งเล่นในร้านเกม ร้านอินเทอร์เน็ต โต๊ะสนุกเกอร์ แม้จะเป็นภาพชินตาของใครหลายคน แต่ขณะเดียวกันภาพเหล่านั้นคือผลสะท้อนของเยาวชนไทยในวันนี้ พวกเขากำลังตกเป็นเหยื่อของอบายมุขที่มีการพนันแฝงมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้…ใช่หรือไม่
ในการเสวนา “เด็กและเยาวชน…กับวิกฤติพนันในสังคมไทย” ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ ซึ่งจัดโดยเครือข่ายรณรงค์หยุดพนัน ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ เครือข่ายครอบครัว เครือข่ายละครรณรงค์ DDD ร่วมกันสะท้อนวิกฤติเยาวชนไทยในยุคนี้ พร้อมเปิดใจ 2 เยาวชนจากศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน(ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก ที่เคยเกี่ยวข้องกับวงจรการพนัน ซึ่งภายในงานมีการแสดงละครสะท้อนปัญหาที่เกิดจากการพนัน โดยมีเยาวชนจากบ้านกาญจนาฯ เข้าร่วมกว่า 40 คน
นายธนากร คมกฤส ผู้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์หยุดการพนัน เล่าถึงสถานการณ์เด็กและเยาวชนที่เข้าสู่วงจรการพนันว่า จากการศึกษาวิจัยของนักวิชาการ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต สำรวจเด็กและเยาวชนระดับชั้นประถมศึกษาตอนต้นถึงมัธยมศึกษาตอนต้น ในช่วงวันเด็กปี 2553 จำนวน 500 คน พบว่า เด็กและเยาวชนเกือบครึ่งหรือประมาณ 30-40% เข้าไปเกี่ยวข้องกับการพนัน และที่น่าตกใจเด็กอายุตั้งแต่ 7 ขวบหรือเด็กที่กำลังศึกษาอยู่ระดับชั้น ป.1 ก็เริ่มเล่นพนันแล้ว ซึ่งถือเป็นนักพนันหน้าใหม่ที่มีอายุน้อยที่สุด โดยประเภทการพนันที่เด็กและเยาวชนเข้าไปเกี่ยวข้องมากที่สุด อันดับแรกคือ การพนันฟุตบอล การพนันออนไลน์ ขณะที่ธุรกิจพนันออนไลน์มีการเติบโตถึงปีละ 20%
เหตุผลที่เด็กๆ เข้าไปเกี่ยวข้องกับวงจรมืดนี้ นายธนากรบอกว่า เป็นเพราะเด็กๆ อยากทดลอง มีความสนุก อยากได้เงิน และเหตุผลที่น่าตกใจคือเด็กบอกว่าไม่มีอะไรทำ,เพื่อนและบุคคลใกล้ชิด ซึ่งนอกเหนือจากพ่อแม่ผู้ปกครอง แต่หมายรวมถึงชุมชนใกล้เคียงเป็นผู้ชักชวน ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลสูงต่อเด็ก นอกจากนี้ยังพบว่าสื่อมวลชนก็มีส่วนสำคัญ โดยเฉพาะสื่อบางสำนักหรือหนังสือพิมพ์บางฉบับที่มีการล่อให้เด็กเข้าสู่การพนัน ด้วยการคาดการณ์แต้มต่อเกมฟุตบอลต่างๆ และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ดังนั้น สิ่งที่จะดึงเด็กออกจากการพนันได้คือการให้ความรัก และกลไกที่สำคัญของสังคม คือการมีทางเลือกให้เด็ก
“เหตุผลที่เด็กบอกว่าไม่มีอะไรทำจึงเข้าไปยุ่งกับการพนัน เป็นเหตุผลที่เราต้องมาตั้งคำถามกลับแล้วว่านั่นหมายความว่าอย่างไร เรามีอะไรรองรับให้เด็กน้อยเกินไปหรือไม่ การพนันเป็นเหมือนหลุมดำที่ลึก การจะปิดแรงดูดจากหลุมดำนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่สิ่งที่ทำคือต้องมีกระบวนการทำงานเยอะ ปัญหาดังกล่าวกฎหมายไม่สามารถจัดการได้ เนื่องจากความล้าหลังของ พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ.2478 พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ไม่ครอบคลุมถึงการเล่นพนันออนไลน์ที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน จนเกิดเป็นช่องว่างในการบังคับใช้กฎหมาย และสิ่งที่ผมกังวลคือตั้งแต่ผลการเลือกตั้งประกาศออกมา กระบวนการปัดฝุ่นนโยบายหลายอย่างที่มีแนวทางวางไว้อยู่แล้ว เช่น หวยออนไลน์ บ่อนเสรี เป็นสิ่งที่เรากังวล ดังนั้นถ้าหากจะเพิ่มสิ่งที่เป็นสีดำ มันต้องเพิ่มพื้นที่สีขาวมากเป็นสองเท่า”นายธนากร กล่าว
ด้านเยาวชนชายจากเด็กบ้านกาญจนาฯ เด็กชายเอ (นามสมมติ) ได้เปิดใจเล่าถึงหนทางเข้าสู่วงจรมืดให้ฟังว่า ประสบการณ์ของการก้าวเข้าสู่วงจรพนันเริ่มตั้งแต่อายุ 14 ปี ขณะนั้นมักจะหนีเรียนและออกมาเล่นสนุกเกอร์ทุกวัน จนมาเห็นตู้ม้าที่วางอยู่ข้างโต๊ะสนุกเกอร์ ที่เห็นมีคนไปเล่นและได้เงินมาก จึงมีความสนใจและลองเล่นจนติดใจ เมื่อเล่นมากจนเงินหมด ก็ต้องกลับไปขโมยของในบ้านมาขาย สุดท้ายโดนจับได้จึงเปลี่ยนไปเป็นคนขายยาบ้าแทน จนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมจากการล่อซื้อในที่สุด
“พอผมไปลองเล่นตู้ม้า เล่นแล้วติดใจและเล่นเป็นประจำ พอไม่มีเงินก็ชวนเพื่อนมาขโมยของในบ้าน ตอนนั้นที่บ้านผมเป็นบริษัท มีรถอยู่ 7 คัน ผมกับเพื่อนก็ขโมยแบตเตอรี่รถยนต์เอาไปขายทั้ง 7 คันได้เงินมา 6,000 บาท เล่นจนหมดตัวพอตาผมจับได้ก็เปลี่ยนเอาทองน้ำหนัก 50 สตางค์ที่แม่ซื้อให้เอาไปขายได้เงินมา 7,500 บาท ก็เอาไปลงกับตู้ม้าจนหมดอีกเหมือนเดิม เลยคิดเปลี่ยนใหม่ด้วยการไปซื้อยาบ้ามาขายเอากำไรมาเล่นตู้ม้าแทน และกลายเป็นที่จับตาของเจ้าหน้าที่จนถูกตำรวจล่อซื้อแล้วเข้าจับกุม และต้องรับโทษอยู่ในบ้านกาญจนาฯ เป็นเวลา 4 ปี ตอนนี้ผ่านไปแล้ว 3 ปี ผมพบว่าหลายสิ่งที่บ้านกาญจนาฯสอนผม มันสอนให้ผมคิดได้มากขึ้นและผมก็จะไม่หันหลังกลับไปยุ่งเกี่ยวกับการพนันเหล่านี้อีก” เด็กชายเอกล่าว
ด้าน เด็กชายบี อีกหนึ่งเยาวชนแห่งบ้านกาญจนาฯ ผู้ก้าวเข้าสู่วงจรอุบาทว์ด้วยวัยเพียง 8 ปี เล่าว่า ครอบครัวของตนเองแตกแยก และทำให้ตนต้องไปอยู่กับเพื่อน จนติดเพื่อน รักเพื่อนมากกว่าครอบครัว เพื่อนบอกอะไรก็เชื่อ และชักชวนไปเล่นไพ่ แล้วก็มาเล่นสนุกเกอร์ พอไม่มีเงินก็เริ่มเป็นเด็กขายยาบ้า พอเงินไม่พอใช้ก็เริ่มขยับไปเป็นการค้าอาวุธเถื่อน และทำให้รู้จักกับคนมีสี แต่พอเริ่มทำไปนานๆ ก็คิดมาเปิดบ้านให้คนเล่นไพ่แล้วตัวเองก็เป็นคนคอยดูต้นทางแทน แต่พอทำไปไม่นานเริ่มรู้สึกว่าเสี่ยง เลยเลิก แต่ก็ยังไม่เลิกเล่นพนัน โดยล่าสุดก็ไปแทงบอล 4 คู่ คู่ละ 2 หมื่นบาท รวมเป็น 8 หมื่นบาท ตอนนั้นเสียหมดกลายเป็นหนี้ จนเจ้ามือต้องมาตามล่าเอาที่บ้าน ให้เวลา 3-7 วันที่จะหาเงินไปคืนและขู่เอาชีวิตบิดาหากไม่มีเงินไปชดใช้ ทำให้ตนกับเพื่อนต้องไปจี้รถจักรยานยนต์มาขายเพื่อใช้หนี้ แต่ด้วยความโลภ จึงทำต่อ และโดนจับกุมในที่สุดเพราะฆ่าเจ้าของรถจักรยานยนต์เพื่อชิงรถ ทุกวันนี้มีโทษจะต้องชดใช้นานถึง 7 ปี ผ่านไปแล้ว 4 ปี กับการใช้ชีวิตในบ้านกาญจนาฯ ก็ทำให้มีการปรับเปลี่ยนชีวิต แต่ก่อนเป็นคนใจร้อน ปัจจุบันนี้ก็เป็นคนที่ทำอะไรแล้วคิดมากขึ้น คิดถึงตัวเอง คิดถึงครอบครัว และยืนยันว่าจะไม่หันหลังไปยุ่งกับการพนันอีก
เด็กชายบี ยังกล่าวอีกว่า เพื่อให้ปัญหาการพนันนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง เยาวชนบ้านกาญจนาฯ ขอเสนอแนวทางผ่านไปยังภาครัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 1.ขอให้รัฐบาลมีนโยบายป้องกันและแก้ไขปัญหาการพนันกับเด็กและเยาวชนอย่างเร่งด่วน 2.ขอให้รัฐบาลพิจารณาแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการพนัน ให้ทันสมัยและครอบคลุมการพนันรูปแบบใหม่และพนันออนไลน์ 3.ขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง เสมอภาคและให้มีหน่วยงานตรวจสอบการรับผลประโยชน์จากการพนัน ถ่วงดุลการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ 4.ให้กระทรวงศึกษาธิการส่งเสริมและสนับสนุนให้สถานศึกษาจัดกิจกรรมเสริมทักษะชีวิตเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้เด็กและเยาวชน และ 5.ขอให้สื่อมวลชนไม่นำเสนอข่าวสารในลักษณะให้แต้มต่อ หรือยั่วยุให้เกิดการพนัน
อย่างไรก็ตามทั้งสองเยาวชนนั้น ได้ใช้เวลาที่พวกเขาเคยหันหลังผิดโดยระหว่างนี้ก็จะรณรงค์ให้ความรู้ สะท้อนความคิดเรื่องการพนันให้น้องๆ ในสถานศึกษาได้รับรู้เป็นบทเรียนเพื่อให้ก้าวข้ามหลุมดำอันกว้างลึกนี้ให้ผ่านพ้นไป
เรื่องโดย : สุนันทา สุขสุมิตร Team content www.thaihealth.or.th