หมดสมัย ‘รักนวล’ ไทย สู่อยู่ก่อนแต่ง
นักวิจัย ม.มหิดล เผยผลศึกษาเพศวิถีในสังคมไทยยุคใหม่เปลี่ยนไป ผู้ชายนิยมมีเซ็กซ์ครั้งแรกกับเพื่อนสนิทหรือกิ๊กมากกว่าหญิงบริการและภรรยา ระบุ “อยู่ก่อนแต่ง” เป็นบรรทัดฐานชีวิตคนวัยทำงานและวัยเรียน ส่วนกลุ่มคนรักเพศเดียวกันมีแนวโน้มปรากฏตัวในสังคมมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อคู่เจริญพันธุ์ผู้หญิงมีน้อยลง
รศ.ดร.กฤตยา อาชวนิจกุล รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า จะนำเสนอผลงานวิจัยเรื่องเพศวิถีที่กำลังเปลี่ยนไปในสังคมไทยเป็นครั้งแรกในงานประชุมวิชาการระดับชาติประจำปี 2554 ในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ โดยเผยแพร่ข้อมูลที่ได้จากการสำรวจเชิงสถิติและเก็บรวมรวบเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมมาวิเคราะห์ เปรียบเทียบและประมวลผล ให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจต่อเรื่องเพศวิถีของคนไทยในปัจจุบัน ซึ่งมีประเด็นที่สำคัญคือ เพศสัมพันธ์ครั้งแรกของชายไทย กลุ่มคนรักเพศเดียวกันปรากฏตัวมากขึ้น และรูปแบบการค้าบริการทางเพศที่เปลี่ยนไป สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นภายใต้บริบทสังคมการเมือง 3 เรื่องตามลำดับเวลา คือ หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 นำมาสู่เสรีภาพเพศวิถี การแพร่ระบาดเชื้อเอดส์ และการเติบโตของภาคประชาสังคม ประมาณหลังปี 2530 และที่สำคัญคือ การเติบโตของยุคไอทีและสื่อสารสนเทศตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา ทำให้การเรียนรู้เรื่องเพศไม่มีขีดจำกัดอีกต่อไป
รศ.ดร.กฤตยาระบุว่า เรื่องเพศสัมพันธ์ครั้งแรกของชายไทยมีความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนคือ ชายไทยเรียนรู้ประสบการณ์ทางเพศครั้งแรกกับหญิงบริการและคู่สมรสของตนเองน้อยลงเรื่อยๆ โดยที่ส่วนใหญ่มีเซ็กซ์ครั้งแรกกับเพื่อนหรือกิ๊ก มีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน และการอยู่ก่อนแต่งมีแนวโน้มจะเป็นบรรทัดฐานของคนทำงานและหนุ่มสาวในวัยเรียนหนังสือ สะท้อนว่าความคิดเรื่องการรักษาพรหมจารีของหญิงไทยไว้จนกว่าจะแต่งงานได้ผ่อนคลายลงมา และคติรักนวลสงวนตัวที่มีความหมายถึงการให้มีเซ็กส์เมื่อแต่งงาน ก็ลดลงมากในทางปฏิบัติเช่นกัน
“กลุ่มตัวอย่างชายไทยที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวนมากกว่า 50% มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกกับภรรยาตนเอง ชายอายุ 46-60 ปียังมีเซ็กส์ครั้งแรกกับภรรยาตนเองมากที่สุด แต่จำนวนเปอร์เซ็นต์ลดลงไปมาก เหลือประมาณ 33% และมีสัดส่วนใกล้เคียงกับหญิงบริการ แต่ในรุ่นอายุ 41-45 ปี กลับมีประสบการณ์ทางเพศครั้งแรกกับโสเภณีมากที่สุดถึง 43% และชายอายุ 31-40 ปี กว่าครึ่งหนึ่งมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกกับเพื่อนสนิทหรือแฟนมากที่สุด รองลงมาเป็นหญิงบริการ และคู่สมรสน้อยที่สุด” รศ.ดร.กฤตยา
ยังมีข้อมูลที่น่าสังเกตคือ กลุ่มตัวอย่างชายไทยอายุ 31-40 ปี นอกจากมีคำตอบถึงเรื่องเพศสัมพันธ์ครั้งแรกกับภรรยา เพื่อนสนิทหรือแฟน และหญิงบริการแล้ว ยังมีคำตอบอื่นๆ เช่น ที่มีความหมายถึงการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกกับเพศเดียวกันที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย
ในช่วงระหว่างปี 2534-2553 ตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ มีงานวิจัยสำรวจจำนวนมากที่มุ่งศึกษาพฤติกรรมทางเพศของกลุ่มวัยรุ่น เนื่องจากถูกมองว่าเป็นกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ พบผลสอดคล้องกันว่า สัดส่วนของวัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียนมีสูงขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก และมีแนวโน้มที่จะมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกเมื่ออายุน้อยลงเรื่อยๆ จากการสำรวจครั้งล่าสุดพบว่า กลุ่มตัวอย่างวัยรุ่นชายอายุ 18-24 ปี เริ่มมีเซ็กส์ครั้งแรกอายุตั้งแต่ 10-13 ปี และผู้หญิงเริ่มมีเซ็กส์อายุ 11-14 ปี
นักวิจัยด้านเพศศึกษาระบุว่า สัดส่วนวัยรุ่นชายอายุ 15-18 ปี มีประสบการณ์ทางเพศแล้วถึง 61% เกือบทั้งหมดเป็นเซ็กส์นอกแต่งงาน เมื่อวิเคราะห์ในรายละเอียดพบว่า ชายอายุ 18-24 ปี เรียนรู้เรื่องเพศครั้งแรกจากหญิงบริการเพียง 3% เท่านั้น และมากกว่าครึ่งหนึ่งมีทัศนคติทางบวกต่อการมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน
ส่วนประเด็นเรื่องกลุ่มเพศรักเพศเดียวกันเริ่มปรากฏตัวในสังคมมากขึ้น แต่ไม่สามารถระบุจำนวนในเชิงสถิติได้ ทั้งนี้ ปัจจุบันสังคมยอมรับความหลากหลายทางเพศมากขึ้น มีกลุ่มองค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับสิทธิของกลุ่มเพศวิถีทางเลือกเพิ่มขึ้นจำนวนมาก มีรูปแบบการเคลื่อนไหวรณรงค์ที่หลากหลายเพื่อเรียกร้องสิทธิในด้านต่างๆ และมีกฎหมายรัฐธรรมนูญห้ามเลือกปฏิบัติทางเพศ อย่างไรก็ตาม ในด้านผลกระทบเชิงประชากร การปรากฏตัวมากขึ้นของกะเทย เกย์ สาวประเภทสอง ทอม ดี้ ก่อให้เกิดความกังวลใจต่อนักประชากรศาสตร์ว่าจะลดจำนวนผู้ชายที่จะเป็นคู่เจริญพันธุ์ของผู้หญิงน้อยลงไปอีก
“อัตราส่วนทางเพศของประชากรไทยในปัจจุบัน ชายต่อหญิง คือ 97 ต่อ 100 ดังนั้นถ้าผู้ชายจำนวนหนึ่ง เช่น ร้อยละ 5-10 เปลี่ยนไปรักเพศเดียวกันหรืออยู่กับฝ่ายหญิง อัตราส่วนทางเพศของผู้ชายก็จะยิ่งลดลงไปอีกเหลือ” รศ.ดร.กฤตยากล่าวสรุป
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์