หนุนเปลี่ยนพื้นที่ว่าง สอนทักษะชีวิต “เด็ก”
เปิดพื้นที่สร้างสรรค์ในชุมชน มุ่งพัฒนาเด็กไทยพึ่งพาตัวเอง
ในโลกที่สังคมหมุนเร็วมาก ไร้การควบคุม มาพร้อมกับเสรีภาพเกินขอบเขต หรืออิสระมากจนเกินไป ส่งผลต่อการเติบโตของเด็กและเยาวชนอย่างไร้ทิศทาง ไม่มีหลักยึดเหนี่ยว มุ่งหน้าแต่เรียนสะสมวิชาการเพียงอย่างเดียว ขาดการเรียนรู้ทักษะชีวิต รู้รากเหง้าของชุมชนที่จะเป็นต้นทุนให้พวกเขานำไปใช้เป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิตในโลกกว้าง
“กลุ่มไม้ขีดไฟ” พลังเล็กๆ ที่เกิดจากการรวมตัวของคนไม่กี่คน ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้เห็นปัญหาข้างต้น จึงได้อาสาตัวเข้ามาสร้างพื้นที่แห่งการสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตของเด็ก โดยเริ่มต้นจากชุมชนใน อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา พร้อมทั้งเป็นวิทยากรให้ความรู้เด็กในด้านต่างๆ ไปทั่วประเทศ อาทิ เรื่องการรู้เท่าทันสื่อ เรื่องเพศ สิทธิเด็ก ค่ายฝึกแกนนำ พัฒนาเรื่องจิตอาสาให้นักศึกษาที่สนใจ โดยหวังว่าพวกเด็กๆ จะมีภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็งในการใช้เมื่อเติบโตอย่างถูกต้อง
ล่าสุดในวันที่ 25 ม.ค.นี้ พวกเขาก็ได้เชิญชวนเด็กและครอบครัวไปเที่ยวงานเดิ่นนี้ดีจัง (เดิ่น ภาษาโคราช แปลว่า ลาน) เด็กๆ ที่ร่วมงานจะได้ทำกิจกรรมสร้างสรรค์พร้อมชมลิเกเรื่อง มนต์รักผักสด มินิคอนเสิร์ต โฮปแฟมิลี่ เพลิดเพลินกับกิจกรรมมากมายให้ครอบครัวร่วมเล่น ร่วมทำ สนุก ทานอาหารพื้นบ้าน วาดภาพระบายสี พร้อมทั้งนำเสนอของดีๆ ของเด็กที่ศึกษาและคิดค้นมาตลอดทั้งปี ให้เกิดความภูมิใจของคนในชุมชนร่วมกัน
“คุณกุ๋ย” ศรัทธา ปลื้มสูงเนิน ผู้ประสานงานกลุ่มไม้ขีดไฟกล่าวว่า เมื่อ 18 ปีที่ผ่านมา พวกเราเป็นกลุ่มนักศึกษาที่ทำกิจกรรมเกี่ยวกับเด็กมาตลอด และปัจจุบันย้ายมาทำงานที่ อ.ปากช่อง โดยมุ่งเน้นการทำงานให้เกิดพื้นที่สร้างสรรค์เป็นหลัก โดยจะเปิดเวทีให้คนมาร่วมงานใหญ่ อย่างเช่น “เดิ่นนี้ดีจัง” ปีละ 1-2 ครั้ง
แต่ในระหว่างนั้นก็จะมีกิจกรรมให้เด็กในชุมชนทำสม่ำเสมอ โดยเข้าไปในโรงเรียนและให้การบ้านเด็กไปค้นหาภูมิปัญญาในชุมชนมีอะไรบ้าง หรืออาจจะให้คุณครูพาเด็กเข้าไปเรียนรู้กับคนในชุมชน เพื่อให้พวกเด็กนำผลงานของตัวเองมาแสดงในงานดังกล่าว โดยเด็กเหล่านั้นจะเป็นไปวิทยากร หรือเปิดซุ้มสอนแก่เพื่อนๆ ที่มาร่วมงาน
“สิ่งที่เด็กได้คือ จะได้เรียนรู้ตัวเองว่าชุมชนมีอะไรดี ภูมิใจในพื้นเพดั้งเดิมของตัวเอง มีความสัมพันธ์กับชุมชน เพราะที่ผ่านมาเด็กเรียนรู้จักโลกมากจากสื่อต่างๆ แต่ไม่เคยได้เรียนรู้ว่าบ้านเรามีอะไร เมื่อถามว่า อ.ปากช่องมีอะไร จะตอบไม่ได้ ไม่รู้เลยว่าคนมีอาชีพอะไรบ้าง มีคนเก่งอะไรบ้าง ไม่รู้เลย แต่หากถามว่าเมืองไทยมีที่เที่ยวอะไรบ้าง ตอบได้ แต่หากถามว่า อ.ปากช่องมีที่เที่ยวอะไร ตอบไม่ได้ ไม่รู้จักอะไรเลย เราจึงใช้เครื่องมือให้เด็กได้เรียนรู้สังคมของตัวเองก่อน”
ผู้ประสานงานกลุ่มไม้ขีดไฟเล่าต่อว่า นี่เป็นส่วนหนึ่งของการทำพื้นที่สร้างสรรค์ แต่เป้าหมายหลักคืออยากเห็นการเรียนรู้จากสภาพแวดล้อมรอบตัว นอกจากภูมิปัญญาท้องถิ่นแล้ว ยังอยากให้เด็กเรียนรู้ถึงการละเล่นสมัยก่อนที่สามารถพัฒนาพวกเขาได้ และที่สำคัญคืออยากเห็นคนในชุมชนมีบทบาทพัฒนาลูกหลานตัวเองผ่าน “งานเดิ่นนี้ดีจัง” หรือกิจกรรมบนพื้นที่สร้างสรรค์อื่นๆ ที่จัดมาแล้วหลายครั้ง รวมทั้งงานที่จะจัดในวันที่ 25 ม.ค.นี้ด้วย
“ในห้องเรียนเน้นหนักในเรื่องวิชาการเยอะมาก ไม่สอนเรื่องทักษะชีวิต ไม่สอนชีวิตคน เมื่อเด็กเกิดวิกฤติในชีวิต งานวิชาการไม่สามารถแก้ปัญหาได้ อย่างเช่น เด็กอยากได้โทรศัพท์มือถือสักเครื่อง งานวิชาการไม่ได้บอกและสอนว่าจะจัดการหรือวางแผนอย่างไรให้ได้ของดังกล่าว ในขณะที่พื้นที่สร้างสรรค์นั้นจะสอนให้เด็กทำกิจกรรม อยากได้อะไรให้เขาทำเอง อย่างเช่น อยากได้ของเล่นก็ทำเอง ไม่แบมือขอใคร ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้พวกเขาประหยัด พอเพียง”
“หากอยากได้โทรศัพท์มือถือจริงๆ ก็ดูว่าเรามีศักยภาพทำได้หรือไม่ เช่น ไปเรียนรู้อาชีพคนในชุมชน และทำของออกมาขาย หรือท้ายที่สุดอาจเกิดความเข้าใจว่าไม่ใช่สิ่งจำเป็นในชีวิต เป็นต้น ซึ่งเป็นคำตอบที่เด็กๆ จะต้องหาเอาเอง”
คุณกุ๋ยบอกต่อว่า วัยเด็กนั้นพวกเขาควรจะได้เล่น เพราะเป็นต้นทุนของชีวิต ขณะที่สังคมในสถานการณ์ปัจจุบันพวกเขาไม่ได้เล่น แต่จะไปมุ่งเน้นคือ เกมคอมพิวเตอร์ หรือเล่นโทรศัพท์มือถือ ซึ่งไม่ได้ทำให้พวกเขาเกิดการพัฒนาทักษะชีวิต แต่พื้นที่สร้างสรรค์จะเปิดพื้นที่ให้ได้เล่น ได้ลงมือทำ ได้ขยับร่างกาย เป็นต้นทุนชีวิตให้พวกเขาไปเรียนรู้โลกภายนอก ให้พวกเขาคิดวิเคราะห์ เป็นความภูมิใจที่พวกเขาจะได้ทำอะไรบางอย่าง เพราะปัจจุบันความพึงพอใจนั้นต้องซื้อด้วยเงิน ซึ่งส่งผลให้เด็กไทยอ่อนแอลงมาก
“ยิ่งเมื่อเราเข้าร่วม AEC การเรียนรู้ภูมิปัญหาเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะเมื่อรากเราไม่แข็งแรง เปรียบเป็นต้นไม้ก็ล้มง่าย ใครจะดึงพาไปไหนก็ไปได้ตามสภาพแวดล้อม แต่หากเรารู้เรื่องในชุมชนก็เป็นรากต้นไม้ที่มั่นคง และเราก็พร้อมรับทุกความเปลี่ยนแปลงบนโลกนี้ได้ทั้งหมด”
ผู้ประสานงานกลุ่มไม้ขีดไฟกล่าวต่อว่า สำหรับพื้นที่สร้างสรรค์ในประเทศไทย ยอมรับเลยว่าไม่เพียงพอต่อความต้องการของเด็กๆ เพราะหากเปรียบเทียบเป็นเพียงแค่จุดเล็กๆ ขณะที่ร้านเกมผุดขึ้นจำนวนมาก มีพื้นที่ให้เด็กแข่งรถ ขณะที่พื้นที่สว่างให้คนมาใช้เวลาร่วมกันมีน้อย
“พวกเราต้องช่วยกันและค่อยๆ ขยายพื้นที่ ใคร มีกำลังก็ช่วยกัน ทุกภาคส่วนก็ร่วมกันทำได้ หากมีใต้ ถุน บ้านว่างๆ พื้นที่ในวัด ลานชุมชน หรือพื้นที่ต่างๆ โดยผู้ใหญ่ชวนลูกหลานมาทำกิจกรรม เช่น ปลูกผักเก่ง ก็มาสอนเด็กๆ หรือปราชญ์ชาวบ้าน หากทำอะไรได้ เช่น ของเล่น ก็มาสอนเด็ก ให้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ หากทุกคนทำได้ พื้นที่สร้างสรรค์ก็จะเพิ่ม ขึ้นได้ทุกแห่ง”
นอกจากจะเปิดพื้นที่สร้างสรรค์ให้กับเด็กๆ แล้ว กลุ่มไม้ขีดไฟยังมีส่วนช่วยพัฒนาประสบการณ์ชีวิตให้แก่นักศึกษาด้วยการเปิดรับสมัครจิตอาสามาช่วยเหลือสังคมและพัฒนาคุณภาพของเยาวชนด้วย
“ศรัทธา” กล่าวว่า วันนี้เราทำงานกันอยู่ประมาณ 4 คน และงานต่างๆ ก็ขอการสนับสนุนจากอาสาสมัคร ที่เป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่างๆ เข้ามาช่วย เพราะพวกเราก็เติบโตมาจากงานอาสาสมัครเช่นกัน ก็เข้าใจดีว่าพลังของคนกลุ่มนี้จะช่วยพัฒนาสังคมได้มาก อีกทั้งตัวพวกเขาเองจะได้ประโยชน์ในอนาคต ทั้งประสบการณ์ชีวิต การอยู่กับคน อยู่กับเด็ก การเรียนรู้เครื่องมือพัฒนาเด็ก และที่สำคัญคือการเรียนรู้ในการทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ ที่จะเป็นความรู้และประสบการณ์เมื่อพวกเขาไปหางานทำเมื่อสำเร็จการศึกษาได้
“นักศึกษาจะนำทฤษฎีที่เรียนมาในมหาวิทยาลัยมาตรวจสอบในภาคปฏิบัติ และได้ยกระดับจิตใจเป็นสาธารณะ เสียสละ อดทน มองปัญหาสังคมได้ซับซ้อนมากขึ้น ประสบการณ์ที่ได้รับนำไปใช้กับชีวิตและสังคมต่อไป นี่ถือประโยชน์ของจิตอาสาที่ได้รับกลับไป และหาซื้อไม่ได้หากไม่ลงมือทำ” ผู้ประสานงานกลุ่มไม้ขีดไฟกล่าวเชิญชวน
ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือติดตามกิจกรรมพื้นที่สร้างสรรค์ หรือร่วมเป็นอาสาสมัครของกลุ่มไม้ขีดไฟ สามารถ โทร.08-1480-5376 หรือที่ http://www.fai-dee.com
พื้นที่สร้างสรรค์สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่หากพวกเราทุกคนเสียสละช่วยกัน เพื่อเป้าหมายให้เด็กไทยเติบโตอย่างมีคุณภาพ
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์