หนุนผู้ป่วยโรคหอบหืด รับยาที่ร้านขายยา
ที่มา : เว็บไซต์ ASTV ผู้จัดการออนไลน์
แฟ้มภาพ
นายกสมาคมสภาองค์กรโรคหืดฯ ชี้ "โรคหอบหืด" อาการคงที่ รับยาที่ร้านขายยาเป็นประโยชน์กับผู้ป่วย เผยอยากให้เกิดขึ้นมานานแล้ว เหมือนในต่างประเทศ และจะมาพบแพทย์เพียงปีละ 1 ครั้ง มั่นใจช่วยลดความแออัด ย้ำคุมชีวิตประจำวันลดปัจจัยเสี่ยง ช่วยคุมอาการได้ดีขึ้นกว่าการใช้ยา
ศ.พญ.อรพรรณ โพชนุกูล นายกสมาคมสภาองค์กรโรคหืดแห่งประเทศไทย และผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศทางด้านโรคภูมิแพ้ โรคหืด และระบบหายใจ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ กล่าวถึงกรณีนโยบายลดความแออัดโรงพยาบาล ด้วยการให้ผู้ป่วยสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) 4 กลุ่มโรค คือ เบาหวาน ความดันโลหิต หอบหืด และจิตเวช รับยาที่ร้านขายยาใกล้บ้านว่า ในฐานะนายกสมาคมฯ ต้องขอบคุณที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เห็นความสำคัญของโรคหอบหืด และบรรจุเป็น 1 ใน 4 กลุ่มโรคที่ให้ผู้ป่วยสิทธิบัตรทองมารับยาที่ร้านขายยา
เนื่องจากผู้ป่วยโรคหอบหืดโดยเฉพาะในผู้ใหญ่จะต้องพ่นยาไปตลอดชีวิต ยกเว้นในเด็กที่รักษาแล้ว 80% สามารถหายขาดได้ แต่ผู้ป่วยที่ควบคุมอาการให้ดีขึ้นได้ พบว่าความถี่ในการใช้ยาจะน้อยลง สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ดังนั้น การให้มารับยาที่ร้านขายยาจึงเป็นแนวทางที่เหมาะสมที่ช่วยลดความแออัดในโรงพยาบาล ซึ่งตนสนับสนุนอย่างมากและอยากให้เกิดขึ้นมานานแล้ว ดีใจมากที่มีแนวทางนี้ เพราะได้ประโยชน์กับคนไข้จริงๆ
ศ.พญ.อรพรรณ กล่าวว่า ปัจจุบันส่วนใหญ่การเบิกจ่ายยาพ่นสำหรับผู้ป่วยจะจ่ายได้ประมาณ 3-4 เดือน ทำให้ผู้ป่วยต้องกลับมาพบแพทย์ ทำให้เกิดปัญหาคนไข้มาก รอคอยนาน ซึ่งแตกต่างจากในต่างประเทศที่มีการจ่ายยาผ่านร้านขายยา และจะมาพบแพทย์เพียงปีละ 1 ครั้งเท่านั้น ดังนั้น การที่ประเทศไทยหันมาให้ผู้ป่วยโรคหอบหืดที่อาการคงที่แล้ว รับยาที่ร้านขายยาแทน และมาพบแพทย์เพียงปีละครั้งเหมือนอย่างต่างประเทศ แนวทางนี้จึงมีประโยชน์อย่างมาก ในการช่วยลดความแออัดในโรงพยาบาล และหากผู้ป่วยที่รับยาไปเกิดภาวะที่ควบคุมอาการไม่ได้ หรืออาการกำเริบก็สามารถมาพบแพทย์ก่อนนัดได้ ซึ่งจะทำให้เข้าถึงได้รวดเร็วขึ้น เพราะคนไข้มารอคอยลดลง
ศ.พญ.อรพรรณ กล่าวว่า การรักษานอกจากการใช้ยาพ่นเมื่อมีอาการกำเริบแล้ว ยังมีการรักษาด้วยแนวทางอื่น เช่น ภูมิคุ้มกันบำบัด วัคซีนสำหรับคนไข้ที่รู้ว่าแพ้อะไร เช่น วัคซีนไรฝุ่น รวมถึงมีเทคโนโลยีอย่างการจี้ขยายหลอดลมด้วยไฟฟ้า เป็นต้น แต่ปัจจัยที่จะช่วยให้ผู้ป่วยควบคุมอาการได้ดีขึ้นนั้น ต้องอาศัยความร่วมมือกันทั้งแพทย์และผู้ป่วย โดยจะต้องหาสาเหตุให้เจอว่า ปัจจัยที่ก่อให้เกิดการกระตุ้นคืออะไร เมื่อรู้แล้วคนไข้ก็ต้องพยายามเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงเหล่านั้น
เนื่องจากโรคนี้เป็นแล้วไม่หาย จึงต้องเน้นการป้องกันไม่ให้โรคกำเริบ ให้มีอาการคงที่ และผู้ป่วยต้องใส่ใจในการดำเนินชีวิตเพื่อไม่ให้อาการกำเริบด้วย คือ การปรับพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์จะช่วยให้ลดการใช้ยาลงได้อย่างมาก โดยผู้ป่วยจะต้องควบคุมเรื่องของอาหาร การออกกำลังกาย สิ่งแวดล้อม และอารมณ์ความเครียดต่างๆ ให้ดี ไม่ให้สิ่งเหล่านี้มากระตุ้นทำให้เกิดอาการของโรคหอบหืด ก็จะช่วยให้ควบคุมอาการของโรคได้ดีขึ้น