หนุนบรรจุ “หลักสูตรภัยพิบัติ” ในตำราไทย

 

จากรายงานของคณะกรรมมาธิการยุโรป ระบุถึงแนวโน้มการเกิดภัยพิบัติในช่วง 15 ปีที่ผ่านมาว่า ประเทศกำลังพัฒนาต้องเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติสูงกว่าประเทศพัฒนาแล้วถึง 3 เท่า

จากข้อมูลดังกล่าวซึ่งสอดคล้องกับสรุปผลภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั่วโลกประจำปี 2554 จากบริษัทออน เบเนฟิล ซึ่งเป็นบริษัทประกันภัยระดับชาติ ในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา (2523-2554) พบว่า ประเทศไทยติดอันดับที่ 5 ของประเทศที่ได้รับความสูญเสียทางเศรษฐกิจมากที่สุด (45,000 ล้านดอลล่าร์) และติดอับดับที่ 9 ของประเทศที่สูญเสียเงินประกันภัยพิบัติ (10,789 ล้านดอลล่าร์) จากเหตุการณ์น้ำท่วมในปี 2554

ขณะที่ “สึนามิ” ของญี่ปุ่นในปี 2547 ติดอับดับ 1 ในประเทศที่ได้รับความสูญเสียทางเศรษฐกิจ (210,000 ล้านดอลล่าร์) และ“พายุเฮอร์ริเคนแคทรีน่า” ของสหรัฐอเมริกาสร้างความสูญเสียเงินประกันภัยพิบัติสูงสุด (66,900 ล้านดอลล่าร์)

ส่วนความสูญเสียทางด้านชีวิตนั้น ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศแถบเอเชียใต้ ซึ่งติดอันดับที่ 2 ของโลก ที่ได้รับผลกระทบจาก “สึนามิ” ในปี 2547 รวมผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับผลกระทบ ราว 227,898 คน รองจากแผ่นดินไหว ในประเทศเฮย์ติ ในปี 2553 ที่มีผู้ประสบภัยราว 230,000 คน

นพ.สุภกร บัวสาย ผู้จัดการ สสค.กล่าวในเวทีเสวนา แลกเปลี่ยนเรียนรู้โครงการพัฒนานวัตกรรมการสร้างสรรค์การเรียนรู้ ในพื้นที่จังหวัดที่ประสบอุทกภัย” จัดโดย สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ว่า ถ้าจะปฏิรูปการศึกษา ทุกท่านสามารถจัดการศึกษาให้มีคุณภาพที่สอดคล้องกับบริบทของชุมชนได้ด้วยตัวของ การจัดการเรียนการสอนสู้ภัยน้ำท่วมครั้งนี้ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่จัดการเรียนการสอนที่ตอบโจทย์ชีวิตจริงและสอดคล้องกับสถานการณ์จริง เนื่องจากอุทกภัยในปีที่แล้ว เช่น  โรงเรียนร่องคำ จ.กาฬสินธุ์  ที่ชวนเด็กและชุมชนมาสำรวจลำน้ำชีว่า ตรงไหนที่ต่ำและสูง และเราจะช่วยอย่างไร โดยได้นำหุ่นยนต์มาใช้เฝ้าเขื่อน และหุ่นยนต์ซุปเปอร์แมนที่บินได้มาทำระบบเตือนภัย ซึ่งเชื่อว่า สอนเด็กตามหนังสือเรียนคงคิดไม่ได้ ถ้าครูไม่ลุกขึ้นมาคิดร่วมกับชุมชน

ด้าน รศ.ดร.วรากรณ์  สามโกเศศ อธิการบดี ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวว่า บทเรียนสำคัญจากน้ำท่วมใหญ่ของประเทศไทย คือทำอย่างไรจะต่อยอดจากสิ่งที่เป็นลบ เพื่อเสริมให้เป็นประโยชน์ได้ เพราะปัจจุบันเทคโนโลยีทำให้เราเก่งขึ้นในการเรียนรู้ที่จะปรับตัว ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ได้เปลี่ยนตัวเองเป็นศูนย์หลบภัยให้ชุมชนได้อยู่รอด สะท้อนให้เห็นว่า ทุกคนนั้นได้รับผลกระทบร่วมกัน แต่ใครจะเปลี่ยนผู้เรียนรู้ที่จะเปลี่ยน เช่นกันภัยพิบัติที่เกิดนั้นไม่มีทางหลีกเลี่ยง แต่จะทำอย่างไรใช้ปัญญา วิทยาศาสตร์ และประสบการณ์ทำให้ดีขึ้นในครั้งต่อไป สสค.จึงเกิดความคิดที่จะขยายผลว่า คนเราเรียนรู้ต่อยอดจากบทเรียนในการหาประโยชน์จากสิ่งที่เกิดขึ้นให้ดียิ่งขึ้นได้อย่างไร

ขณะที่นายฮิโรคะซึ นากาตะ ประธานกรรมการองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร พลัส อาร์ตส์ ซึ่งได้รับความร่วมมือจากเจแปน ฟาวน์เดชั่น กรุงเทพฯ บรรยายในหัวข้อ “การสร้างแรงบันดาลใจในการสร้างสื่อการเรียนการสอนเตรียมพร้อมรับภัยพิบัติ” เพื่อผลักดันนวัตกรรมการเรียนการสอนที่เกิดขึ้นสู่การบรรจุเป็นหลักสูตรในการเรียนการสอนจริง พบว่า ปัจจัยสำคัญ 3 ข้อคือ 1.ต้องมีการหาความรู้อย่างลึกและละเอียด ซึ่งพบว่า เราควรได้เรียนรู้จากผู้ประสบภัยโดยตรง 2.จัดให้มีการเรียนรู้อย่างสนุกสนาน ไม่ว่าเด็กจะเรียนรู้บ่อยแค่ไหน พวกเขาก็จะยินดี 3.ต้องมีดีไซต์ที่น่าสนใจ อาจเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับผู้ใหญ่ แต่เป็นเรื่องยิ่งใหญ่สำหรับเด็ก

“โดยเฉพาะระหว่างภัยพิบัติผู้ประสบภัยใช้เทคนิคอะไรในการรับมือภัยพิบัติบ้าง แล้วนำมาประมวลเป็นเกมส์ หรือสื่อในการเรียนการสอนต่างๆ ซึ่งในญี่ปุ่น เทศบาลเมืองโกเบเป็นตัวตั้งตัวตีในการสร้างการเรียนรู้ ดังนั้นถ้าครูและเด็กไทยได้เรียนรู้แนวคิด และนำไปปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับวิถีชีวิตและภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในไทยจะเป็นประโยชน์มาก โดยเฉพาะการบรรจุการเรียนรู้ภัยพิบัติเข้าไปในหลักสูตร และปรับให้เหมาะสมกับบริบทของปัญหาในแต่ละท้องถิ่นต่อไป

 

 

ที่มา : สำนักข่าวอิศรา

Shares:
QR Code :
QR Code