หนุนจ้างงานพิการ สู่สังคมเท่าเทียม
ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
ภาพประกอบจากเว็บไซต์
เพราะคนทุกคนต่างมีข้อดีในแต่ละตัวบุคคลแม้กระทั่งผู้ที่มีสภาพร่างกายแตกต่างจากคนอื่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเหล่านั้นจะไร้ความสามารถทาได้เพียงรอความช่วยเหลือจากสังคมรอบข้าง
ในวันนี้เราได้เห็นคนพิการลุกขึ้นมาพิสูจน์ตัวเองให้สังคมได้เห็นถึงความสามารถที่มีไม่แพ้คนอื่นๆจะขาดก็เพียงโอกาสที่จะได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถที่ไม่แพ้ใครโดยเฉพาะหน่วยงานภาครัฐเอกชนรวมถึงสังคมที่หากเปิดใจให้กว้างและรับเขาเหล่านี้เข้าทางานนอกจากจะสร้างความภูมิใจจากการแสดงคุณค่าในตัวเองได้แล้วการจ้างงานยังหมายถึงความสามารถที่จะดูแลปากท้องของตัวพวกเขาเองและยังรวมถึงครอบครัวได้อีกด้วย
ที่ผ่านมาในปีได้มีการนาร่อง โดยบริษัทที่เลือกให้การสนับสนุนการประกอบอาชีพคนพิการด้วยการจ้างงานคนพิการให้เป็นพนักงานปฏิบัติงาน เพื่อชุมชนหรือทางานสาธารณะประโยชน์ในท้องถิ่นใกล้บ้าน แทนการว่าจ้างผู้พิการเป็นพนักงานในสถานประกอบการตามมาตรา ก่อนจะขยายผลสู่ปีที่สองและปีที่สามในปีนี้โดยถือเป็นโมเดลทางเลือกให้บริษัทองค์กรที่ไม่ต้องการส่งเงินสมทบเข้ากองทุนตามมปีละเฉลี่ยถึงล้านบาทด้วยหลายประเด็นไม่ว่าจะเป็นความไม่พร้อมของฝ่ายนายจ้าง และการที่ไม่สามารถหาบุคลากรผู้พิการที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับตาแหน่งงานได้ ขณะที่ฝ่ายผู้รับจ้างซึ่งได้แก่ผู้พิการเองก็ไม่ประสงค์จะทางานหรือไม่สะดวกจะทางานไกลจากถิ่นพานักมากนัก
ภายใต้การขับเคลื่อนของมูลนิธินวัตกรรมทางสังคม ภายใต้การสนับสนุนของกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) อภิชาติ การุณกรสกุล ประธานกรรมการมูลนิธินวัตกรรมทางสังคม กล่าวว่า ตลอดช่วงปีที่ผ่านมา พบว่า แนวทางดังกล่าวสามารถขยายผลเป็นรูปธรรมโดยทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐภาคเอกชนและภาคประชาสังคมมีความพร้อมที่จะร่วมกันขยายผลให้เกิดการจ้างงาน
ล่าสุดยังเกิดการรวมตัวขององค์กรวิชาชีพ ได้แก่ หอการค้าไทยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย รวมทั้งบริษัทเอกชนกว่าองค์กร ที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการสานพลังสู่มิติใหม่สร้างงานสร้างอาชีพคนพิการ ซึ่งยังได้รับการสนับสนุนจากภาคนโยบาย โดยมีสองกระทรวงหลัก ได้แก่ กระทรวงแรงงาน และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ให้การสนับสนุน
คมกริช นาคะลักษณ์ ผู้อานวยการด้านบริหารธุรการสัมพันธ์ บริษัทน้าตาลมิตรผลจากัด หนึ่งในบริษัทเอกชน ที่เข้าร่วมโครงการฯ เล่าถึงที่มาแนวคิดการดาเนินการว่า บริษัทมิตรผลเป็นหนึ่งในบริษัทแรกที่ร่วมนาร่องการจ้างงานผู้พิการทางานในชุมชน ซึ่งเกิดจากนโยบายผู้บริหารองค์กรที่ต้องการจ้างงานผู้พิการให้ครบตามโควต้าร้อยเปอร์เซ็นแทนการส่งเงินเข้ากองทุนซึ่งเขายอมรับว่าเป็นภารกิจที่ค่อนข้างหนักใจ เพราะที่ผ่านมาฝ่ายสรรหาสามารถหาจ้างพนักงานผู้พิการได้เพียงคนจากที่บริษัทต้องจ้างพนักงานผู้พิการให้ได้คน
เขาเล่าย้อนไปเมื่อสองปีก่อนว่า เรื่องการจ้างผู้พิการทางานพัฒนาชุมชนถือเรื่องใหม่ แต่หลังจากได้เข้าใจแนวคิดแล้วทาให้คมกริชปิงไอเดียว่าการที่มิตรผลเป็นโรงงานที่มีเครือข่ายเป็นเกษตรกรกว่าสี่ร้อยตาบลทั่วประเทศก็น่าจะทาได้ไม่ยากแม้ตอนนั้นจะติดเงื่อนไขอยู่ว่ากฏหมายยังตีความเรื่องนี้ไม่ชัดเจนแต่บริษัทก็ตัดสินใจเลือกที่จะเดินหน้าเรื่องนี้
คมกริช เล่าถึงวิธีการจ้างงานว่าบริษัทฯเปิดให้ชุมชนเป็นคนคัดเลือกพนักงานเอง เพราะเชื่อว่าชุมชนรู้ดีว่าใครมีศักยภาพแค่ไหนปีแรกมิตรผลสามารถจ้างงานผู้พิการครบตามเป้าหมายร้อยเปอร์เซ็น โดยทั้งคนทางานเป็นเจ้าหน้าที่ในโรงเรียนรพสต. และเป็นผู้ช่วยด้านพัฒนาชุมชนโดยให้กรรมการในชุมชนเป็นผู้ประเมินผลการทางานพนักงานแต่ละคนเองว่าหางานได้เหมาะสมหรือไม่
พอปีที่สองเราเริ่มมั่นใจว่ามาถูกทางแล้วจึงไปกวาดต้อนโควต้าของบริษัทในเครือที่เหลือรวมเป็นคนแต่หลังจากทราบว่าวิธีการจ้างแบบนี้ยังสามารถหักภาษีได้ถึงสองเท่าจากที่จ่ายค่าจ้างปีละล้านบาท จึงได้คืนอีกผมเลยเดินไปขออนุญาตทางบอร์ดว่าเงินจานวนล้านกว่าที่ได้คืนมานี้จะขอจ้างผู้พิการเพิ่มให้เต็มอัตราสรุปว่าปีบริษัทสามารถจ้างงานผู้พิการได้เพิ่มเป็นกว่าคนเขาเอ่ย
นอกจากจะได้รับผลประโยชน์เรื่องภาษีแล้วผลตอบแทนที่ได้รับอย่างไม่คาดคิด คือความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชนซึ่งประเมินมูลค่าไม่ได้ ปกติโรงงานกับชุมชนอาจมีเรื่องขัดแย้งบ้างเป็นธรรมดาแต่หลังจากบริษัทฯสนับสนุนจ้างงานดังกล่าวเราได้รับความร่วมมือจากชุมชนมากขึ้นมีอะไรก็คุยกันง่ายขึ้นคมกริชเอ่ย
และเสริมโดย วรวัจน์ สุวคนธ์ ผู้บริหารสูงสุดทรัพยากรบุคคล บมจ.ไทยพาณิชย์ ซึ่งถือเป็นองค์กรที่ให้สนับสนุนจ้างงานผู้พิการมากที่สุดคือคน แม้ธนาคารจะตั้งเปาหมายว่าไม่ต้องการส่งเงินเข้ากองทุนผู้พิการฯตามมาตราทว่าวรวัจน์ยอมรับว่ามีหลายปัจจัยที่เป็นอุปสรรคาให้ตลอดช่วงที่ปีที่ผ่านมาไทยพาณิชย์ต้องเลือกทางออกด้วยการจ่ายเงินเข้ากองทุนเฉลี่ยปีละกว่าล้านบาท
แต่หลังจากปลายปีที่แล้ว มูลนิธินวัตกรรมทางสังคมได้เข้ามาพบที่ธนาคารโดยนาเสนอเกี่ยวกับเรื่องการจ้างงานตามมาตราให้เราฟังจนเราเห็นประโยชน์รวมถึงขั้นตอนต่างๆ ทาให้เราตัดสินใจอย่างรวดเร็วในการจ้างงานคนพิการได้ครบคน ซึ่งครอบคลุมจังหวัดทั่วประเทศโดยคนธนาคารเป็นผู้จ้างงานผู้พิการโดยตรง เพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่รณรงค์ความปลอดภัยบนท้องถนนร่วมกับมูลนิธิเมาไม่ขับ
อีกสี่สิบกว่าอัตราที่เหลือธนาคารยังร่วมมือกับมูลนิธิมหาไถ่ เพื่อการพัฒนาคนพิการโดยการเข้าไปสนับสนุนอบรมหลักสูตรเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เขาอธิบายและเผยถึงประโยชน์ที่ได้รับจากโครงการนี้ว่า นอกจากการได้สร้างโอกาสให้คนพิการแล้วยังทาให้คนในองค์กรเปิดมุมมองใหม่ในการมองคนพิการว่าจริงๆพวกเขาเหล่านี้ก็เป็นเพื่อนมนุษย์เราคนหนึ่งที่ยังสามารถสร้างคุณูปการให้กับสังคมและประเทศชาติได้อีกมาก
ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สสส. กล่าวว่า สสส. โดยแผนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ ได้สนับสนุนแผนงานพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแบบครบวงจร ภายใต้มูลนิธินวัตกรรมทางสังคม โดยได้ขับเคลื่อนจนเกิดการจ้างงานและส่งเสริมอาชีพคนพิการกว่า 10,000 อัตราในปี 2559 โดยความร่วมมือของบริษัทเอกชนองค์กรถือเป็นมิติใหม่การจ้างงานและสร้างอาชีพคนพิการโดยตั้งเปาให้เกิดจ้างงานคนพิการได้อัตราภายในสิ้นปีนี้
ผลจากโครงการดังกล่าวนอกจากจะทาให้คนพิการเข้าถึงโอกาสในการทางานทั้งงานสาธารณะประโยชน์แล้ว ยังรวมถึงการพัฒนารูปแบบการทางานจิตอาสารณรงค์ โดยนอกจากจะช่วยให้คนพิการได้ทางานที่มีคุณค่าพร้อมกับการมีรายได้มีอิสระและที่สาคัญคือช่วยให้พวกเขาอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีและพึ่งพาตนเองได้