หนุนคิดเป็นแก้ปัญหาได้ วิธีเรียนยุคใหม่เด็กไทย

หนุนคิดเป็นแก้ปัญหาได้ วิธีเรียนยุคใหม่เด็กไทย thaihealth


ในยุคเปลี่ยนผ่านนี้มีหลายปัญหาที่รัฐบาลต้องแก้ไข โดยเฉพาะเรื่องการศึกษาไทย ถือว่ามีเสียงเรียกร้องจำนวนมากให้เกิดการปฏิรูปอย่างจริงจัง เพื่อเป้าหมายสำคัญคือการวางรากฐานให้แก่เด็กและเยาวชนได้เติบโตเป็นกำลังของชาติต่อไป ในฐานะที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เป็นหน่วยงานที่ดูแลสุขภาวะของคนไทย ก็เห็นด้วยกับหลักการข้างต้น จึงทุ่มเทให้ความสำคัญต่อการวางรากฐานพัฒนาคุณภาพของเด็กมาโดยตลอด


เริ่มตั้งแต่ให้ผู้ปกครองใส่ใจตั้งแต่พวกเขายังอยู่ในครรภ์ของมารดา เปลี่ยนผ่านมาสู่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จนกระทั่งจบการศึกษา ซึ่งการทำงานอย่างต่อเนื่องสามารถวัดผลได้จากโครงการ “สานพลังร่วมสร้างสุขภาวะเด็กปฐมวัย: ปฐมวัย…คุณภาพที่สร้างได้” ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้ โดยมีครูและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาเด็กเข้าร่วมกว่า 1,500 คน เพื่อนำความรู้ใหม่ๆ ไปพัฒนาเด็กไทยต่อไป


หนุนคิดเป็นแก้ปัญหาได้ วิธีเรียนยุคใหม่เด็กไทย thaihealthมีโอกาสได้พูดคุยกับ ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ผู้จัดการ สสส. ยอมรับว่าห่วงใยสถานการณ์เด็กปฐมวัยของไทย โดยพบว่าคุณภาพทุกด้านมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง จากผลการสำรวจของกรมอนามัย ปี 2554 ที่พบว่าเด็กมีพัฒนาการไม่สมวัย ร้อยละ 27.5 ส่วนผลการสำรวจสถานการณ์ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ลดลงจาก 45.12 เหลือเฉลี่ย 44.21 ในปี 2557 และด้านสติปัญญา (IQ) ลดลงเฉลี่ย 93.1 จาก 98.59


โดยเฉพาะเด็กในเขตนอกเมือง เนื่องจากมีช่องว่างในการดูแลและบูรณาการเรียนรู้ด้านต่างๆ ระหว่างเด็กไทยในเขตชนบทและเขตเมือง แม้รัฐบาลจะมีนโยบาลช่วยเหลือให้เงินเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดในครอบครัวที่ยากจน คนละ 400 บาทต่อเดือนก็ตาม แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาที่แท้จริงได้ 


ผู้จัดการ สสส.กล่าวต่อว่า การแก้ปัญหาดังกล่าวต้องทำเป็นระดับและขั้นตอน เริ่มตั้งแต่ระดับปฐมวัย ที่ต้องสร้างพื้นฐานเรื่องการศึกษา การควบคุมอารมณ์ การปลูกฝังให้รักการอ่าน การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และให้ความรัก เพื่อให้เด็กมีความพร้อม รวมทั้งมีความรับผิดชอบต่อสังคม โดยพวกเขาจะเติบโตไปเป็นผู้มีจิตใจเอื้ออารีได้หรือไม่ ขึ้นอยู่ว่าช่วงวัยนี้จะได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างถูกต้องหรือไม่


เมื่อเข้าสู่วัยประถมศึกษาเป็นช่วงเติมทักษะความรู้ ความสามารถในด้านต่างๆ รวมทั้งการจัดระเบียบตนเอง และเมื่อเข้าช่วงมัธยมศึกษา เด็กจะซึมซับบริบทสังคม สิ่งแวดล้อม ความรู้ ซึ่งจะถูกสร้างอัตลักษณ์ บุคลิกภาพ นิสัยของแต่ละบุคคล จึงสังเกตได้ว่าทุกช่วงวัยของการเจริญเติบโตจะมีการวางระบบพัฒนาเด็กแตกต่างกัน เพื่อส่งเสริมให้เป็นเด็กที่ดีและมีคุณภาพต่อสังคม


“ทั้งนี้ การจะล้างระบบเก่าและสร้างระบบใหม่เพื่อปฏิรูปและพัฒนาเด็กทำได้ยาก เนื่องจากระบบพัฒนาเยาวชนยังติดอยู่กับโครงสร้างการจัดการของกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในประเทศ การปรับหลักสูตรเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจะยากหนุนคิดเป็นแก้ปัญหาได้ วิธีเรียนยุคใหม่เด็กไทย thaihealthมาก เพราะมีผู้เกี่ยวข้องในการวางระบบมากกว่าแสนคน อย่างไรก็ดี การพัฒนาการศึกษาเด็กยังมีทางแก้ไขคือ ต้องเริ่มจากท้องถิ่นและชุมชน จึงสนับสนุนให้เข้ามามีส่วนร่วมและออกแบบศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก (ศพด.) ในสิ่งที่ชุมชนอยากเห็น ซึ่งขั้นตอนหลังจัดโครงการนี้จะพยายามกระจายแผนการพัฒนาไปสู่พื้นที่ต่างๆ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ โดยมีชาวบ้านเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนา อีกทั้งจะส่งเสริมให้ใช้ทรัพยากรในพื้นที่มากขึ้นด้วย”


ผู้จัดการ สสส.กล่าว และว่า นอกจากนี้ ประเทศไทยควรกำหนดมาตรฐานอย่างต่ำของการศึกษาหากอยากจะเห็นการอ่านออก เขียนได้ของเด็กไทยเพิ่มมากขึ้น แต่ไม่ควรกำหนดและตีกรอบการเรียนรู้ เนื่องจากแต่ละพื้นที่มีความจำเป็นและเหมาะสมของการเรียนรู้ไม่เท่ากัน อีกทั้งเห็นว่าการจำทฤษฎีมากกว่า เรียนจบสูงกว่า และได้เกรดเฉลี่ยดีกว่า ไม่ได้เป็นเครื่องชี้วัดในคุณภาพว่าเด็กจะทำประโยชน์ต่อสังคมได้มากกว่า


“เด็กบางพื้นที่ไม่จำเป็นต้องเรียนสูงก็สามารถประกอบอาชีพได้ดีเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ อีกทั้งมีฐานะและสร้างสรรค์สังคมได้มากกว่า การตีกรอบการเรียนรู้ต้องทำให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะแต่ละพื้นที่มีความต่างทางด้านความพร้อม ความต้องการ ทรัพยากร ดังนั้นหากจะคาดหวังให้เด็กทุกคนไปไม่ถึงกรอบที่วางไว้นั้นไม่ได้แน่นอน สุดท้ายเราจะไม่ได้อะไรเลย”


ทพ.กฤษดากล่าวย้ำว่า เชื่อว่าเด็กที่เก่งไม่ใช่พวกที่จำความรู้ได้มากกว่า แต่เด็กที่เก่งคือคนที่คิดเป็น ยกตัวอย่างเช่น เราจ้างบุคลากรคนหนึ่งคนเข้าทำงานในโรงงาน เขาไม่สามารถนำเอาหลักสูตรที่เรียนมาใช้กับงานได้ เพราะเป็นเพียงทฤษฎี แต่ระบบของไทยมักยัดเยียดเนื้อหาทางวิชาการให้เด็ก และผลที่ออกมา การศึกษาก็สู้ประเทศอื่นไม่ได้ ดังนั้นไม่ควรไปห่วงเรื่องเนื้อหาและสาระมากนัก ต้องเน้นกระบวนการวิธีคิด กระจายอำนาจสู่ชุมชน ส่วนมาตรฐานการวัดความรู้นั้นก็ให้ชุมชนและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาในท้องถิ่นเป็นผู้วัดระดับด้วยตนเอง


อย่างไรก็ตาม หลักสูตรสมัยใหม่ควรสร้างเด็กให้คิด แก้ปัญหาเป็น สอนให้นำความรู้มาบูรณาการในการแก้ปัญหา คิดไอเดียใหม่ ต่อยอดทฤษฎี เนื่องจากปัจจุบันความรู้สามารถค้นหาในอินเทอร์เน็ตได้แล้ว เด็กจะเรียนรู้เรื่องใด ด้านใด เวลาไหน ก็ไม่มีกรอบจำกัด


“การพัฒนาทรัพยากรบุคคลเป็นสิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศอย่างแท้จริง จึงจำเป็นต้องพัฒนาความคิดของเด็กที่เกิดใหม่ โดยต้องแก้ปัญหาช่องว่างของระบบและกลไกที่เกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัย 3 ระบบ คือ ระบบบริการสุขภาพ ระบบการจัดการเรียนรู้ และระบบการบริการจัดการระดับพื้นที่ในทุกระดับ ตั้งแต่ชุมชน ท้องถิ่น อำเภอ จังหวัด และระดับประเทศ ให้มีความเชื่อมโยงมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อคุณภาพของเด็กและระบบการศึกษา” ทพ.กฤษดาระบุ


ด้าน รศ.ดร.วิลาสินี อดุลยานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักส่งเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ สสส. บอกให้ทราบถึงความเคลื่อนไหวของโครงการพัฒนาเด็กเล็กว่า เราให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของครูในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จำนวน 220 แห่ง ให้มีความเข้าใจแนวคิดการทำสื่อการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ และเกิดแรงบันดาลใจในการทำงาน ด้วยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผ่านเครือข่ายครูศูนย์พัฒนาเด็กเล็กทั่วประเทศ ที่สำคัญจะต้องสามารถสร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชนของแต่ละพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น


“การใช้สื่อเทคโนโลยีเพื่อหวังดึงดูดความสนใจของเด็กนั้น เป็นการปัดพฤติกรรมการเรียนรู้ที่ดีของเด็กออกไป เพราะเด็กเล็กอายุ 2-6 ขวบ ไม่ควรจะอยู่กับเทคโนโลยีมากเกินไป แต่ควรจะต้องได้ฟังนิทานจากครูหรือพ่อแม่ ต้องได้วิ่งเล่นเพื่อพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก มัดใหญ่ของแขนและขา ได้ออกไปสัมผัสธรรมชาติแล้วเรียนรู้จากของจริง” ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักส่งเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ สสส. กล่าว


ในยุคปฏิรูปประเทศเช่นนี้ ถึงเวลาแล้วที่ต้องเปลี่ยนแปลงระบบการเรียนการสอนที่เน้นแต่การท่องจำ ให้เด็กสามารถคิดเป็น แก้ปัญหาได้ พร้อมเสริมสร้างทักษะชีวิต ก็เชื่อว่าพวกเขาจะเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาวะดีในอนาคต และเป็นกำลังสำคัญพัฒนาประเทศต่อไป.


 


 


ที่มา: เว็บไซต์ไทยโพสต์


ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ

Shares:
QR Code :
QR Code